top of page

6. God So Loved

สำหรับการศึกษาเพิ่มเติมในชุดนี้ คลิกที่นี่

6. พระเจ้าทรงรัก

บังเกิดใหม่เข้าสู่ความสัมพันธ์การแต่งงาน

 

พระเจ้าเองเป็นผู้ริเริ่มติดต่อมายังโลกจากสวรรค์ เพื่อเรียกผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ไปกับพระองค์ เหมือนในความสัมพันธ์ชีวิตคู่  จากปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ พระคัมภีร์เล่าถึงเรื่องราวของพระผู้สร้าง ผู้รักมนุษยชาติมาก จนยอมทำสารพัดสิ่งเพื่อเปิดทางให้มนุษย์กลับไปหาพระองค์ได้ จากการล้มลงในบาป ณ สวนเอเดนนั้น  ในหนังสือวิวรณ์พูดถึงการนำธรรมิกชนของพระเจ้าเข้าสู่ความสัมพันธ์การสมรสกับพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ด้วยการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณของพระเจ้า  มีการบรรยายให้เห็นภาพบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่โดยองค์พระเป็นเจ้าว่าเหมือนกำลังลอยลงมาจากสวรรค์ในฐานะเป็นเจ้าสาว และเป็นเมืองๆหนึ่ง:

 

 ข้าพเจ้าได้เห็นนครบริสุทธิ์ คือ นครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครเตรียมพร้อม

 

เหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับสามี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า “นี่แน่ะ ที่ประทับของ

 

 พระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระ-

 

 เจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา] (วิวรณ์ 21:2-3

 

อัครทูตเปาโลก็ได้เอ่ยถึงความคิดเดียวกันนี้ที่ว่า คริสตจักรเป็น “เจ้าสาวของพระคริสต์” ในพันธกิจการสั่งสอนของเขา  เปาโลเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าหวงแหนพวกท่านอย่างที่พระเจ้าทรงหวงแหน เพราะว่าข้าพเจ้าหมั้นท่านไว้กับสามีคนเดียว เพื่อถวายพวกท่านให้เป็นหญิงพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสต์” (2 โค-รินธ์ 11:2)  พระเจ้าได้สำแดงต่อมนุษยชาติว่า การสมรสเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้านี้เกิดขึ้นได้ด้วยการถวายเครื่องสัตวบูชาแทนเราเท่านั้น  ในพันธสัญญาเดิม พระองค์ใช้ภาพลูกแกะไร้ตำหนิในเทศกาลปัสกาที่ต้องมาตายแทนมนุษย์ เพื่อไถ่ประชากรของพระเจ้าออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ (อพย. 12:3-13) ต่อมาระหว่างที่รอนแรมอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าสำแดงแก่ชาวอิสราเอลว่า วิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับการชำระบาปและเข้าหาพระเจ้าองค์บริสุทธิ์นี้ได้ ก็โดยการหลั่งเลือดของสัตว์ที่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนมนุษย์ (กดว. 29:44-45)

 

การถวายเครื่องบูชาทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมล้วนเล็งถึงการเสียสละด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งคนทั้งจักรวาลได้ประจักษ์แล้ว  พระเจ้าองค์บริสุทธิ์สูงสุดได้กลายมาเป็นมนุษย์ ยอมสละชีวิตของพระองค์ด้วยความรัก ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ชำระโทษประหารที่สมควรตกแก่เราเพราะบาปอย่างสมบูรณ์  เราถูกไถ่คืนจากการเป็นทาสบาปและซาตานโดยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดุจลูกแกะไร้ตำหนิหรือริ้วรอยมลทินที่ถูกเชือด (1 ปต. 1:19)

 

คู่รักผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกผู้ได้ทำให้เราหลงใหลด้วยการสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยประจักษ์ ได้แก่ การตายอย่างน่าสมเพชของพระคริสต์บนกางเขนที่โกละโกธา แล้วถ้านั่นยังไม่พอ พระองค์ยังทำให้การแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดนี้สมบูรณ์ โดยเปิดกว้างให้แก่ผู้คนมากที่สุด สามารถรับเอาความรักนี้ไว้ได้ด้วยวิธีที่แสนง่ายดายที่สุด  นี่เป็นงานที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว เราไม่สามารถเพิ่มเติมอะไรเข้าไปได้อีก นอกจากรับเอาของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ไว้  เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่เราเกิดมาในโลกนี้ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย  ไม่มีอะไรเหลือให้เราทำอีกแล้ว นอกจากไว้วางใจและเชื่อ  นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังอธิบายให้นิโคเดมัส ฟาริสีที่แอบมาหาพระเยซูในคืนหนึ่งฟัง  พระคริสต์กล่าวหนักแน่นว่า “ท่านจะต้องเกิดใหม่” (ยน. 3:7)  มาอ่านบทสนทนาระหว่างพระเยซูกับนิโคเดมัสกันต่อดีกว่า ขณะที่องค์พระเป็นเจ้าอธิบายถึงของขวัญจากพระเจ้าและวิธีที่ผู้ตอบสนองต่อพระองค์โดยความเชื่อจะรับได้อย่างไร:

 

  11เราบอกความจริงกับท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็น แต่พวกท่านไม่ยอมรับคำพยาน

 

 ของเรา 12ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกและพวกท่านไม่เชื่อ แล้วท่านจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเรา

 

 บอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายสวรรค์ 13ไม่มีใครเคยขึ้นไปสวรรค์นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตร

 

 มนุษย์ 14โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15เพื่อทุกคนที่วางใจ

 

 พระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:11-15)

 

ความเรียบง่ายของข่าวประเสริฐ

 

ในการศึกษาครั้งก่อน (ข้อ 1-10) เราได้อ่านเรื่องที่นิโคเดมัสค้นหาคำตอบสำหรับเรื่องยากๆในชีวิต เช่น มนุษย์จะชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร?  เราจะได้ความชอบธรรมนี้มาอย่างไร? เมื่อพระเยซูบอกเขาว่า เขาต้องบังเกิดใหม่จากพระเจ้าอีกครั้ง เขาก็ตอบว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร? (ยน. 3:9)  เขาถูกฝึกมาแต่เกิดให้คิดแต่ในแง่สิ่งต่างๆของโลกนี้เท่านั้น  พระเยซูได้ยกตัวอย่างง่ายๆ โดยเปรียบเทียบกับการเกิดมาในโลกนี้ เช่น ตอนที่เราเกิด เราไม่มีส่วนทำอะไรได้เลย ในการบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดที่เราทำได้  ถ้าแค่คำอุปมาง่ายๆที่เปรียบเปรยกับการเกิดของมนุษย์ นิโคเดมัสยังมองไม่ออก แล้วเขาจะตอบพระเยซูได้อย่างไรถ้าพระองค์เริ่มพูดถึงสิ่งที่อยู่ในสวรรค์? (ข้อ 12) มุมมองนี้คล้ายกับที่เปาโลเขียนไปหาคริสตจักรที่เมืองโครินธ์:

 

แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ (1 โครินธ์ 2:14)

 

นิโคเดมัส ชายผู้มีการศึกษาสูงสุดคนหนึ่ง และอยู่ในจุดสูงสุดของหน้าที่การงานในฐานะอาจารย์ของอิสราเอล ไม่เข้าใจสิ่งที่พระคริสต์กำลังสอนเขา!  นี่จึงเตือนสติเราว่า เราต้องเป็นคนที่ศึกษาค้นคว้าพระคำของพระเจ้า และอย่ายึดถือถ้อยคำของมนุษย์เป็นความจริงสูงสุด  บางคน (แม้ผ่านการฝึกอบรมมามากมาย) ยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณได้ เว้นแต่พระวิญญาณจะเปิดตาใจเขาออก  การที่จะช่วยให้เขาเข้าใจและแสดงให้ฟาริสีแห่งอิสราเอลคนนี้เห็นว่า พระเจ้าได้ทำให้ความรอดเป็นเรื่องง่ายแค่ไหน  พระเยซูต้องพาเขาหวนกลับไปคิดถึงประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและเตือนเขาถึงตอนที่พระเจ้าใช้วิธีง่ายๆโดยให้มองดูงูทองสัมฤทธิ์บนเสาไม้เพื่อสอนพวกเขาเรื่องความเชื่อ (ข้อ 14)

 

ให้เรามาดูเนื้อหาในหนังสือกันดารวิถีที่พระคริสต์กล่าวอ้างถึงกันให้ละเอียดขึ้น และดูว่าเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง

 

 4พวกเขาออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางที่ไปทะเลแดง เพื่อจะอ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนเกิดความท้อแท้

 

   ระหว่างทาง 5แล้วประชาชนก็ต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมพาเราออกจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่น

 

   ทุรกันดาร? เพราะไม่มีอาหารและไม่มีน้ำ เราเกลียดอาหารอันไร้ค่านี้” 6และพระยาห์เวห์ทรงส่งพวกงูพิษ

 

   มาในหมู่ประชาชน งูก็กัดประชาชน และคนอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก 7และประชาชนมาหาโมเสส

 

   กล่าวว่า “เราทำบาปเพราะเราต่อว่าพระยาห์เวห์และต่อว่าท่าน ขอทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ให้พระองค์ทรง

 

   นำงูไปจากเรา” ดังนั้นโมเสสจึงทูลวิงวอนเพื่อประชาชน 8และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูพิษตัว

 

   หนึ่งติดไว้บนเสา และทุกคนที่ถูกงูกัดมองดูงูนั้น ก็จะมีชีวิตอยู่ได้” 9ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง  

 

   และติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใคร ถ้าคนนั้นมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้  (กันดารวิถี 21:4-9)

 

คำถามข้อที่ 1) ผลจากการบ่นต่อว่าพระเจ้าคืออะไร ? พระเจ้าสั่งให้พวกเขาทำอะไรเพื่อนำการเยียวยารักษามาให้ตัวเอง และเรื่องนี้คล้ายกับสิ่งที่พระเยซูสอนนิโคเดมัสอย่างไร?

 

พระคัมภีร์บอกว่าคนอิสราเอลมากมายต้องตายไป (ข้อ 6) ที่น่าสนใจ คือ พระเจ้าไม่ได้บอกให้พวกเขาจับงูเป็นๆแล้วตอกมันไว้ที่เสา เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันก็เป็นสัญลักษณ์ว่า เราแต่ละคนตายเพราะบาปของตัวเอง  องค์พระเป็นเจ้าไม่ได้บอกให้พวกเขาเอาดาบออกไปฆ่างู  พระเจ้าไม่เรียกร้องให้พวกเขาไปที่เสาด้วยซ้ำ เผื่อว่าพวกเขาจะอ่อนแรงเกินไป  ไม่มีพลังงานของมนุษย์เกี่ยวข้องด้วยเลย  ไม่มีใครบอกตัวยาที่จะใช้รักษาพวกเขาจากพิษงูกัดได้เลย  พวกเขาไม่ต้องไปปรนนิบัติใครๆ เพื่อให้รักษา  ไม่สิ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคนเหล่านั้นที่ปรนนิบัติรับใช้ แต่แหล่งที่มาของการเยียวยาที่พวกเขาได้รับ คือ การเชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้าที่ให้มองเฉยๆด้วยความเชื่อ  ผมสงสัยว่า พวกเขาต้องตายไปกี่คนเพราะไม่ยอมรับและไม่ทำตามเงื่อนไขง่ายๆที่พระเจ้าจัดเตรียมให้  คำตอบสำหรับความรอดของพวกเขาก็อยู่ตรงนั้น ต่อหน้าพวกเขา แต่ก็เหมือนพวกเราบางคนในปัจจุบันนี้ พวกเขาอาจมองข้ามการจัดเตรียมของพระเจ้า เพราะมันง่ายเกินไป

 

ผมแน่ใจว่าบางคนไม่สามารถเข้าใจความง่ายของการมองพ้นตัวเองไปยังงูทองสัมฤทธิ์บนเสาที่อยู่กลางค่ายนั่น อาจมีบางคนพูดว่า “กะแค่มองดูงูทองสัมฤทธิ์บนเสานั่นจะทำให้ฉันหายได้ยังไง?”  งูเป็นสัญลักษณ์ของบาปและทองสัมฤทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษา (ทองสัมฤทธิ์เป็นโลหะเดียวกับที่ใช้ทำแท่นบูชา) ภาพนี้เป็นภาพของเรื่องราวที่เรียบง่ายอย่างสวยงาม  บาปถูกพิพากษาแล้ว และผู้ใดมองดูภาพบาปซึ่งถูกพิพากษานั้นด้วยความเชื่อก็จะหายโรค  อุปมานี้เป็นเรื่องทั่วไป เพราะเมื่ออัครทูตเปาโลพูดถึงพระ-คริสต์ เขาก็เขียนว่า พระเจ้าทรงทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร. 5:21) พระเจ้าพิพากษาบาปโดยให้พระคริสต์รับการพิพากษานั้นเสียเอง  เพราะเหตุนี้พระเยซูจึงร้องออกมาบนไม้กางเขนว่า พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” (มก. 15:34) เมื่อพระคริสต์ถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขนนั้น บาปของเราถูกพิพากษาที่พระองค์  พระองค์เป็นลูกแกะที่ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาและไถ่บาปแทนเรา  เราต้องมองไปที่พระองค์ด้วยสายตาแห่งความเชื่อเพื่อจะหายเจ็บปวดจากพิษงูกัด

 

ทางของพระเจ้าย่อมสูงกว่าทางของเรา  ถ้าพระองค์ทำให้มันง่ายขนาดแค่กลับใจใหม่และมองไปที่กางเขน แล้วทำไมเราถึงไม่เชื่อและวางใจในพระองค์?  ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็พูดถึงความง่ายของการรับความรอดโดยแค่มอง: จงหันมาหาเราและรับความรอดจนสุดปลายแผ่นดิน เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีผู้อื่น” (อสย. 45:22)  พระเจ้าใช้พระคำข้อนี้เพื่อส่องทางแห่งความรอดแก่ ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน นักเทศน์ชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่  เขาติดพายุหิมะระหว่างทางไปโบสถ์ที่โคลเชสเตอร์ เมืองเอสเซ็กซ์ ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ.1850  ด้วยความที่ไปโบสถ์อนุรักษ์นิยมของตนไม่ได้ เขาจึงแวะที่โบสถ์เล็กๆระหว่างทาง  ศิษยาภิบาลของโบสถ์นั้นไปโบสถ์ไม่ได้ในวันนั้น ผู้ปกครองของโบสถ์ท่านหนึ่งจึงลุกขึ้นกล่าวเรียบๆว่า เราแค่ต้องมองตรงไปที่พระผู้ช่วยให้รอดบนกางเขนด้วยความเชื่อ ว่าแล้วเขาก็ยกพระคำอิสยาห์ 45:22 ขึ้นมากล่าว  สเปอร์เจียน บรรยายถึงประสบการณ์นั้นด้วยคำพูดของเขาว่า นักเทศน์ในวันนั้น “จำใจพูดตามเนื้อหาที่เตรียมมาด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เขาออกเสียงยังไม่ถูกด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่สำคัญ  ผมเห็นทางแห่งความรอดทันที  ผมไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรต่ออีก  ผมไม่ได้สังเกตอะไรมาก เพราะตอนนั้นผมถูกครอบงำด้วยความคิดนั้นความคิดเดียว  ผมรอคอยที่จะทำห้าสิบอย่าง แต่เมื่อผมได้ยินคำนั้นว่า จงหันมาหาเรา! มันช่างฟังดูเป็นคำที่จับใจมากสำหรับผม….ณ ตรงนั้น เวลานั้น เมฆหมอกแห่งความเคลือบแคลงสงสัยมลายหายไป ความมืดเคลื่อนออกไป ในนาทีนั้นผมเห็นความสว่าง  ผมแทบจะลุกขึ้นทันที แล้วร้องเพลงโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ร่วมไปกับคนที่ร้อนรนที่สุดในพวกเขาเลย ด้วยความเชื่อง่ายๆซึ่งมองไปที่พระคริสต์เพียงผู้เดียว โอ้ น่าจะมีใครบอกผมก่อนหน้านี้นะว่าให้วางใจในพระคริสต์แล้วคุณจะรอด’ “[1]

 

ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน ได้พยายามอย่างหนักเพื่อความรอดของตน และก็มาปักใจเชื่อในความจริงง่ายๆของการมองดูที่กางเขน  เขาบังเกิดใหม่ทันทีในโบสถ์แห่งนั้นในวัยสิบหกปีอันอ่อนเยาว์ และไม่นานเขาก็ได้เทศนาต่อหน้าคนจำนวนมากในวัยสิบเก้าปี (ครั้งหนึ่งผมบังเอิญอาศัยอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ตั้งของโบสถ์นั้น ที่โคลเชสเตอร์เมืองเอสเซ็กซ์

 

ผมอธิบายไม่ได้ว่า การมองที่พระผู้ช่วยให้รอดบนกางเขนนั้นจะลบล้างบาปของผมไปได้อย่างไร ผมก็แค่เชื่อ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนชีวิตผม  ข่าวประเสริฐเป็น “ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสำหรับความรอดของทุกคนที่เชื่อ” (โรม 1:16)  อย่าพยายามเข้าใจทุกอย่างก่อนตัดสินใจมอบใจและจิตวิญญาณแด่พระองค์  แค่ทิ้งทุกอย่างไว้ในมือของพระองค์เหมือนเด็กเล็กๆ

 

 

 

แรงจูงใจของพระเจ้าที่ทำให้ความรอดเป็นเรื่องง่ายๆก็เพื่อคนจำนวนมากที่สุดจะหันมาหาพระองค์และรับความรอดได้  พระคัมภีร์บอกเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่  (2 ปต. 3:9) แรงจูงใจของพระเจ้า คือ ความรักและห่วงใยในสถานะของเราที่พระองค์เห็นอยู่  พระองค์เห็นเราอยู่ในตลาดทาสของซาตาน ถูกบาปผูกมัดไว้ และอยู่ภายใต้การหลอกลวงฝ่ายวิญญาณของศัตรู  ทั้งหมดที่พระเจ้าต้องการก็แค่ให้เรามองด้วยความเชื่อไปยังกางเขนนั้น ที่ซึ่งบาปถูกพิพากษาแล้ว

 

คำถามข้อที่ 2) การเชื่อในข่าวประเสริฐหมายความว่าอะไร? เป็นการยอมรับข้อเท็จจริงด้วยสมองใช่ไหม หรือมากกว่านั้น? คุณคิดว่าการเชื่อด้วยใจหมายถึงอะไร?

 

การเชื่อหมายความว่าอะไร? (ข้อ 15)

 

คำว่า เชื่อ ในภาษาอังกฤษแปลมาจากคำว่า Pisteuō ในภาษากรีก  คำนี้หมายความว่า เชื่อใน มีศรัทธาใน และไว้วางใจในความจริงแท้ของใครบางคน[2] เพื่อให้เข้าใจแนวความคิดนี้ชัดเจน ผมขออนุญาตวาดภาพเพื่ออธิบายถึงความไว้วางใจแบบนี้  ลองนึกภาพพระเยซูกำลังเข้ามาในปราสาทแห่งชีวิตของคนๆหนึ่ง ซึ่งถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาโดยการปิดสะพานชัก เพื่อไม่ให้พระองค์เข้ามา  บนเชิงเทินเหนือ “ปราสาทแห่งวิญญาณมนุษย์” มีสามสิ่งยืนอยู่ซึ่งต้องร่วมกันตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้พระองค์เข้ามาหรือไม่  สติสัมปชัญญะพูดขึ้นก่อน โดยกล่าวกับส่วนอื่นๆว่า “เราแย่แล้ว เราละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน เรามีความผิดฐานกบฏ”  ความรู้สึกนึกคิด กล่าวขึ้นเป็นอันดับสองว่า “ข้อเสนอของพระองค์ที่จะอภัยโทษให้เปล่าๆ ถ้าเราเพียงแค่เปิดสะพานชักนั้น เป็นอะไรที่เกินความคาดหวังของเรา  เราควรจะเปิดให้พระองค์นะ”  ความจริง คือ มันเป็นผู้เดียว (บุคคลที่สาม)

 

เท่านั้นที่มีอำนาจเปิดประตูนั้น  ส่วนที่สามของธรรมชาติภายในเรา เรียกกันว่า เจตนา (ความตั้งใจ) ของเรา

 

ความตั้งใจ รับคำปรึกษาจากส่วนอื่นๆ แต่เขาผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าถึงคันโยกสะพานชักนั้นได้  พระคริสต์จะไม่มีวันบังคับขืนใจเราเพื่อจะเข้ามาในชีวิตเรา  พระเจ้าได้ให้ของขวัญแห่งเจตจำนงเสรีแก่เรา (เราเลือกได้)  การจะเชื่อและยอมรับพระคริสต์นั้นย่อมเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่แค่ยอมรับข้อเท็จจริงแห่งข่าวประเสริฐในใจเท่านั้น

 

มักมีการต่อสู้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของคนๆหนึ่งบ่อยๆเมื่อเราเผชิญกับการเรียกร้องและข่าวประเสริฐของพระคริสต์  ศัตรูในวิญญาณจิตของเราจะกระซิบคำถามสารพัดอย่างเข้าไปในความรู้สึกนึกคิด เพื่อหว่านล้อมไม่ให้คนๆนั้นเปิดประตูสะพานชัก  เราผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินใจลดสะพานชักลงและยอมให้พระคริสต์เข้ามาในชีวิตและปกครอง “ปราสาทวิญญาณมนุษย์” ของเรา  การเชื่อนั้นต้องทำด้วยความตั้งใจ

 

หลังจากพิจารณาใคร่ครวญคำพยานจากความรู้สึกนึกคิดและสติสัมปชัญญะแล้ว ชายหรือหญิงนั้นก็จะเอื้อมมือออกไปหาพระเจ้าด้วยความเชื่อ โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทำตามที่พระองค์กล่าวไว้  ถ้าใครยอมจำนนและไว้วางใจในสิ่งที่พระคริสต์ได้ทำแทนพวกเขาด้วยความเชื่อ พวกเขาก็จะบังเกิดใหม่ หรือบังเกิดฝ่ายวิญญาณจากสวรรค์  เมื่อตัดสินใจละทิ้งชีวิตของตนเพื่อพระคริสต์เช่นนี้แล้ว พระองค์ก็สัญญาว่า จะไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งเราเลย (ฮบ. 13:5) แต่เราต้องตัดสินใจรับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามพระองค์ไป (ลก. 9:23) การที่จะเดินในทางของพระเจ้าต่อไปได้นั้นเป็นเรื่องของความตั้งใจ (เจตนา) เหมือนเราได้เข้าสู่การต่อสู่ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต

 

พึงรับรู้ว่า ในความรู้สึกนึกคิดของเราจะมีการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณอันเดือดดาล  ศัตรูแห่งจิตวิญญาณของคุณอยากให้คุณเชื่อว่า ความคิดของคุณมีต้นกำเนิดมาจากคุณคนเดียว ซึ่งไม่จริง  ถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูมักใช้แทนเมล็ดพืชในอุปมาเรื่องผู้หว่านนั้น จะถูกหว่านลงในทุ่งนาแห่งหัวใจเรา (ลก. 8:4-15) ส่วนศัตรูก็มักจะถูกแทนด้วยภาพของนกที่มาขโมยเมล็ดพืชไปก่อนที่จะมันงอกขึ้นมา  ในคำอุปมาเรื่องวัชพืชนี้ (มธ. 13:24-26) เรายังเห็นว่าศัตรูได้หว่านเมล็ดของมันในดินดีด้วย  หัวใจคือแก่นแห่งตัวตนภายในของมนุษย์ ซึ่งได้แก่จิตวิญญาณ ความรู้สึกนึกคิด ความตั้งใจ และอารมณ์ของเขา (1 ธส. 5:23)  ไม่ใช่ว่าความคิดทุกอย่างที่เข้ามาในหัวเรานั้นจะมาจากตัวคุณเอง  ความคิดต่างๆนั้นมีที่มาจากสามแหล่งด้วยกัน คือ พระเจ้า ซาตาน และความคิดของเราเอง  สิ่งใดที่คุณยอมให้เจริญเติบโตในความคิด และการตัดสินใจที่คุณเลือกทำจากความคิดที่บ่มเพาะอยู่ในหัว คุณก็จะกลายเป็นสิ่งนั้น  การเชื่อ คือ การเลือกยอมจำนนทุกสิ่งที่คุณมีและเป็นอยู่ต่อพระคริสต์อย่างมีสติ  เมื่อคุณมาหาพระคริสต์ คุณไม่ใช่เจ้าของตัวเองอีกต่อไป คุณถูกไถ่ซื้อมาด้วยราคาแพง คือ ด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ที่หลั่งออกแทนเรา (1 คร. 6:20)

 

คำถามข้อที่ 3) คุณเคยมีประสบการณ์การต่อสู้แบบนี้ในความรู้สึกนึกของคุณบ้างไหม? อภิปรายกัน

 

ผู้ใดเชื่อ ก็รอด

 

  16พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น

 

   จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่

 

   เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น (ยน. 3:16-17)

 

นิโคเดมัส ตกใจสุดขีดเพราะถ้อยคำเหล่านี้ เพราะพระเยซูมิได้บอกว่า พระเจ้ารักอิสราเอล (ซึ่งจริงๆพระองค์ก็รัก) แต่กลับบอกว่า พระเจ้าทรงรักโลกแทน  ไม่ใช่แค่คนยิวเท่านั้นที่ถูกเรียกให้รอดและเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า แต่พระเจ้ายังให้พระคุณแก่ “ทุกคนที่เชื่อ” (ข้อ 16) ด้วย  ในช่วงเวลานี้ของประวัติศาสตร์ที่พวกเขาอยู่ พวกยิวที่เคร่งศาสนาพากันคิดว่า ใครก็ตามที่ไม่ได้รักษากฎบัญญัติของพระเจ้าตามแบบฟาริสีล้วนถูกสาปแช่ง: ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ พวกเขาต้องถูกสาปแช่ง” (ยน. 7:49) ความรอดนี้ที่มาถึงคนทั้งโลกนั้น เป็นแผนการของพระเจ้ามาตลอด แม้ตั้งแต่เริ่มทำสัญญากับอับราฮามแล้ว เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พเพราะเจ้า” (ปฐก. 12:3) พระเจ้าได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่า จะมีกลุ่มคนที่พระเจ้าเรียกจากอิสราเอลและทั่วประชาชาติ  พระองค์จะไม่ละทิ้งเผ่าพันธุ์ ชนชาติ ภาษา หรือกลุ่มคนใดไว้นอกคริสตจักรสากลของพระองค์: มหาชนที่ไม่มีใครนับจำนวนได้ ที่มาจากทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกชนชาติและทุกภาษา ยืนอยู่หน้าพระที่นั่งและเฉพาะพระพักตร์พระเมษโปดก” (วว. 7:9) และเพราะความรอดนี้ เรารู้สึกขอบคุณชนชาติอิสราเอลมากที่นำข่าวดีนี้มายังเรา เราเป็นหนี้คนเหล่านี้ในฝ่ายวิญญาณ   (โรม 15:26-27)

 

ยอห์น 3:16 บอกเราถึง ความรักของพระเจ้าที่ยอมสละพระองค์เอง  คำว่า “ความรัก” ในภาษาอังกฤษแปลมาจากคำว่า อากาเป้ ในภาษากรีก  ซึ่งหมายถึง รัก ทะนุถนอม ให้เกียรติ เจือจาน อุทิศตัว เคารพ จงรักภักดี และห่วงใย  คำนี้มักไม่ค่อยถูกนำไปใช้นอกวรรณกรรมทางศาสนา ส่วนใหญ่มักใช้แปลคำว่า เชเซด ในภาษาฮีบรู ซึ่งมีความหมายว่า ความรักความกรุณาปราณี หรือความเมตตา[3] อากาเป้เป็นคำที่อธิบายถึงความรักที่เสียสละตนเอง เช่น รักที่สมัครใจ หรือการตัดสินใจด้วยความตั้งใจของคนๆหนึ่ง พระเจ้าทรงรัก (อดีตกาล) แม้ในขณะที่เรายังอยู่ในความบาป และเป็นศัตรู กบฏต่อต้านพระองค์ พระองค์ก็ได้ส่งบุตรชายของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเยียวยาเราจากบาปที่ทำกับพระองค์ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือ ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา (โรม 5:8) ข้อความนี้ยังกล่าวต่อไปว่า พระเจ้าทรงรักมากจนได้ให้  ความรักแบบที่เรากำลังพูดถึงนี้ จะให้แล้ว ให้อีก แม้พระองค์จะต้องเจ็บปวด และให้แก่มนุษย์ทุกหนแห่ง ในทุกชนขาติ แรงจูงในการให้ของพระองค์ คือ ความปรารถนาที่ไม่ต้องการให้ใครสักคนพินาศ และทุกคนจะกลับใจใหม่  หากคุณเคยถูกล่อให้สงสัยในความรักของพระเจ้า ให้มองไปที่กางเขนของพระคริสต์ และมองดูการพิพากษาของพระเจ้าต่อบาป แต่ขอให้มองเห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปทั้งหลายด้วย

 

พระเจ้าได้สร้างของขวัญอันล้ำค่าที่สุดให้เรารับได้ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด และพระองค์ยังยินดีมอบของขวัญนี้ให้แก่ทุกคนที่เชื่อ พระเจ้าทำให้มันง่ายเสียจนแม้แต่เด็กๆ ที่มีความรู้เรื่องนี้น้อยนิดก็ยังรับของขวัญแห่งความรอดที่พระองค์ให้เปล่าๆนี้ได้  พระองค์กล่าวว่า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครที่ไม่ยอมรับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ จะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้” (ลก. 18:17)  ในเรื่องนี้เด็กๆสามารถสอนบางอย่างแก่เราได้  เพราะเด็กๆเชื่อและไว้วางใจแต่ในสิ่งที่พ่อแม่บอกพวกเขาเท่านั้น  ตอนที่ลูกชายผมอยู่ในวัยเตาะแตะ ยังเดินไม่ค่อยได้ ผมจะให้เขานั่งบนที่ๆค่อนข้างสูงสำหรับเขาขณะที่ผมปิ้งขนมปัง  เขาก็จะยืนขึ้น แล้วกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนผม ไม่เคยกลัวว่าเขาอาจจะตกเลยสักครั้ง หรือแม้แต่ก้มลงมองดูว่า ตัวเองอยู่สูงจากพื้นแค่ไหน  เขา

 

วางใจว่าผมจะรับเขาไว้ได้  แต่เมื่อเราโตขึ้นนี่เอง เราจึงต้องการเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของพระบิดา

 

พระเจ้ารักคุณและผมมากจนได้สละบุตรชายคนเดียวของพระองค์  หากมีทางอื่นที่มนุษย์จะกลับมาคืนดีกับพระเจ้าได้ คุณไม่คิดว่าพระองค์จะเลือกทางนั้นหรือ?  ถ้าการรักษากฎบัญญัติและข้อกำหนด ตลอดจนการเป็นคนดีสามารถทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้าคงไม่ต้องให้ลูกชายของพระองค์มาตายอย่างเจ็บปวดแน่นอน  แต่เพราะพระเจ้ารักมาก พระองค์จึงให้  คำว่า มาก ถูกเติมเข้ามาเพื่อย้ำถึงความรักของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ใช่แค่รัก  แต่พระองค์รักคุณและผมมากๆ จึงยอมทนดูบุตรชายคนเดียวของพระองค์ถูกทารุณและประหารด้วยน้ำมือของคนชั่ว

 

พระคริสต์เป็นตัวแทนเรา

 

น้ำมือใครหรือที่ทำเช่นนี้ต่อพระองค์ ? พวกที่หวดแส้และพวกที่โห่ร้องตะโกนว่า “ตรึงเขาเสีย” จะถูกพิพากษาแน่นอน เว้นแต่พวกเขาจะยอมรับการอภัยโทษจากพระองค์ด้วย  แต่มันคือบาปของผมและของคุณนี่เองซึ่งนำพระคริสต์ไปที่กางเขน  สถานการณ์มันถึงขนาดว่า ปราศจากพระผู้ช่วยให้รอด คุณและผมจะพินาศ (ข้า 16)

 

เราถูกลงโทษไปแล้ว  เราถูกพิพากษาไปเรียบร้อย และคนเหล่านั้นที่ยังไม่บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณก็ยังคงเป็นนักโทษที่ซาตานจับไว้  มีทางออกเดียวเท่านั้น คือ พระบุตรของพระเจ้าต้องเข้ามาแทรกแซง และจ่ายค่าไถ่เพื่อให้ทุกคนมองไปยังพระผู้ช่วยให้รอด อุปสรรคแห่งบาปจึงถูกขจัดออกไปโดยการตายของผู้ที่เป็นตัวแทนเรา

 

ผมอยากจะเล่าเรื่องหนึ่งซึ่งผมคิดว่า จะแสดงให้เห็นถึงความรักชนิดที่ตายแทนกันได้ที่เรากำลังพูดถึงนี้:

 

 ในหนังสือ การอัศจรรย์บนสะพานข้ามแม่น้ำแคว เออร์เนส กอร์ดอน ได้เล่าเรื่องจริงของเชลยศึกกลุ่ม

 

 หนึ่งซึ่งทำงานบนทางรถไฟพม่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  เมื่อสิ้นสุดแต่ละวัน ก็จะมีการเก็บเครื่องไม้

 

 เครื่องมือต่างๆจากกลุ่มคนงาน  คราวหนึ่งผู้คุมชาวญี่ปุ่นตะโกนขึ้นมาว่า มีพลั่วอันหนึ่งหายไปและ

 

 ต้องการรู้ว่าใครเป็นคนเอาไป  เขาเริ่มเอะอะโวยวายด้วยความเดือดดาล และสั่งว่าถ้าใครรู้ตัวว่าทำผิด

 

 ให้ก้าวออกมา ไม่มีใครขยับเขยื้อน  ถ้างั้นตายหมด! ตายกันให้หมด! เขาตะโกนเสียงแหลมพลางง้างไกปืน

 

 ยาว เล็งไปที่เชลยศึกเหล่านั้น ในนาทีนั้น ชายคนหนึ่งก้าวออกไป และผู้คุมคนนั้นก็ใช้ปืนยาวฟาดเขาจน

 

 ตายขณะที่เขายืนตัวตรงอยู่เงียบๆ  เมื่อกลับไปที่ค่าย ก็มีการนับเครื่องมือใหม่อีกครั้ง ไม่ขาดพลั่วสักอัน  

 

 ทหารญี่ปุ่นคนนั้นนับผิด ชายคนนั้นที่ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเป็นตัวแทนช่วยให้คนอื่นๆรอด[4]

 

พระเจ้าทำให้โลกกลับมาคืนดีกับพระองค์โดยอยู่ในพระคริสต์  พระองค์รักคุณและผมมากจนได้สละพระองค์เองเพื่อเรา  ครั้งแรกที่ผมได้ยินว่าพระเจ้ารักผมเป็นการส่วนตัว มันเป็นข่าวสำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา! ทำไมถึงไม่เคยมีใครบอกผมเรื่องนี้มาก่อน!  ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า ผมได้เร่ร่อนไปทั่วโลกเพื่อค้นหาคำตอบแก่คำถามสำคัญๆของชีวิต และไม่เคยมีใครสักคนที่บ้านเกิดบอกเรื่องนี้กับผมมาก่อน  ผมสูญเสียแม่ไปตอนห้าขวบ ผมไม่เคยได้ยินคำว่า “แม่รักลูก”  หัวใจผมโหยหาที่จะมีคนรักผมอย่างที่ผมเป็น มากกว่าสิ่งที่ผมทำได้  เหมือนภาพตัวต่อ (จิ๊กซอว์) ที่จะไม่สมบูรณ์จนกว่าจะนำชิ้นส่วนสุดท้ายที่หายไปมาวางลงในที่ของมัน  มีบางอย่างในชีวิตผมขาดหายไปซึ่งผมก็ชี้ขัดลงไปไม่ได้ว่ามันคืออะไร  หัวใจผมเจ็บปวดและหลอมละลายเพราะความรักของพระเจ้าตอนที่ผมพบกับพระเยซูคริสต์  ผมจำได้ว่าผมออกจากที่ที่ผมได้มาเป็นคริสเตียน เดินทางด้วยรถโดยสารเกรย์ฮาวด์ลงไปยังรัฐฟลอริดา และอ่านหนังสือเรื่อง Hind’s Feet on High Places เขียนโดย ฮันนาห์ เฮอร์นาร์ด ผมร้องไห้อย่างหนักเมื่อได้รู้มากขึ้นว่า พระเจ้าได้พยายามดึงดูดผมเข้าหาพระองค์มาตลอด พระองค์ไม่เคยละทิ้งผมนับแต่เมื่อผมร้องขอให้พระองค์ช่วยหลังจากเสพยาเกินขนาดจนเกือบตาย

 

ราวๆห้าปีที่ผมเฝ้าค้นหาความจริงฝ่ายวิญญาณซึ่งในที่สุดก็มีคนบอกผมเสียที  ผมได้ยินคำสอนนี้แล้วก็บังเกิดใหม่เมื่อรู้ว่าพระเจ้ารักผม  ผมเคยประหลาดใจและก็ยังคงประหลาดใจจนทุกวันนี้ว่า พระองค์รักคนอย่างผมได้อย่างไร  ผมไม่เคยมีและก็ยังไม่มีอะไรพิเศษในตัวเอง แต่พระเจ้าก็ยังคงรักผมเหมือนเดิมและรักคุณด้วย ไม่ว่าคุณเคยทำอะไรลงไป หรือไปอยู่ที่ไหนมาก่อน  พระองค์ก็รักคุณ มาหาพระองค์เถิด  มาสัมผัสความรักของพระองค์ที่มีต่อคุณ! พระองค์มองเห็นว่าเราจำเป็นต้องบังเกิดใหม่ เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าฟื้นฟูเรา และเติมเราให้เต็ม และพระเยซู ผู้เป็นเจ้าบ่าวได้มาเว้าวอนเราและรักเราเพื่อนำเรากลับมาหาพระองค์ ผู้ใดเชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ (ข้อ 16)

 

คำถามข้อที่ 4) คำว่า ชีวิตนิรันดร์ หมายความว่าอะไร และเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?

 

ชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่แค่การได้สัมผัสกับชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้ตลอดไป แต่เป็นชีวิตในอีกระดับหนึ่งเลย  เป็นชีวิตที่พระ-เจ้าตั้งใจให้เป็น เช่น ชีวิตที่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง ชีวิตที่นำโดยพระวิญญาณและด้วยความรักแบบอากาเป้ เมื่อเรารับพระคริสต์ เราได้รับการอภัยโทษ และได้ยืนอยู่ในจุดที่ถูกต้องกับพระเจ้าโดยงานที่พระคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนกางเขน เพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกไม่ได้ และไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้ได้มา ทำได้แค่รับไว้เป็นของขวัญจากพระเจ้า ชีวิตนี้เริ่มต้นเมื่อเราขอให้พระคริสต์เข้ามาในชีวิตของเราและกลับใจจากบาป (เปลี่ยนความคิดและวิถีชีวิตของเรา) อย่างจริงใจ  เราไม่ต้องคอยจนกว่าจะตายเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร์ มันเริ่มต้นแล้วตั้งแต่เมื่อเราบังเกิดจากเบื้องบนหรือบังเกิดใหม่แล้ว

 

คนที่ไม่วางใจก็ถูกพิพากษาแล้ว

 

  18คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้

 

  วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 19หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาใน

 

  โลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม 20เพราะทุกคนที่

 

  ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ 

 

  21แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งพระเจ้า

 

  (ยน. 3:18:21)

 

นี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก เพราะพระเยซูกำลังบอกว่า ไม่มีแผนสองในการช่วยกู้  ถ้าเราไม่เชื่อคำพยานของพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่พระเยซูตายแทนเรา เราจะพินาศ  พระเยซูตรัสว่า ผู้ที่ไม่เชื่อวางใจในพระคริสต์ก็ถูกลงโทษแล้ว  มีเพียงสองอาณาจักรในโลกนี้ คือ อาณาจักรของซาตาน และอาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา(มธ. 12:30) ถ้าเราไม่ได้เป็นคนของพระองค์โดยการบังเกิดใหม่จากพระวิญญาณ เราก็ยังอยู่ในค่ายของซาตาน (คส. 1:13) พระเยซูจบคำสอนนี้โดยบอกว่า แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง (ข้อ 21) ผมตีความตรงนี้ว่า ทุกคนที่มีใจซื่อสัตย์ และต้องการดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า เมื่อได้ฟังความจริง เขาจะเชื่อ  ส่วนผู้ที่ทำชั่วย่อมเกลียดชังความสว่าง และจะไม่เข้าไปในความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย (ข้อ 20) คุณจะมอบชีวิตของคุณให้กับพระองค์ไหม? คุณจะเลือกเข้ามาในความสว่างไหม?

 

คำอธิษฐาน: พระบิดา ขอโปรดช่วยลูกเลือกติดตามพระองค์ได้ง่ายๆวันต่อวันเหมือนเด็กๆ ดังที่เด็กเล็กๆไว้วางใจ ขอช่วยให้ลูกวางใจพระองค์สุดจิตสุดใจ  ลูกขอเลือกที่จะเชื่อว่า พระองค์หวังดีต่อลูกอย่างที่สุด ลูกขอพึ่งพระองค์ พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของลูก  ด้วยการมองแวบเดียว ลูกขอเลือกเชื่อในพระองค์

 

คลิกที่นี่เพื่ออ่านผลการเรียนภาษาไทยเพิ่มเติม

 

คีธ โธมัน

 

เวปไซด์: www.groupbiblestudy.com

 

อีเมล: keiththomas@groupbiblestudy.com

 

 

 

 

[2] Spiros Zodhiates, Key Word Study Bible, AMG publishers, Study of 4409, Pisteuō, Page 1662.

[3] Spiros Zodhiates, Key Word Study Bible, AMG publishers, 1996, Agapaō, Page 1571.

[4] Ernest Gordon, Miracle on the River Kwai, Fontana Books, 1973.

 

bottom of page