top of page

4. How do I become a Christian?

สำหรับการศึกษาเพิ่มเติมในชุดนี้ คลิกที่นี่

4. ฉันจะเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?

ฉันใหม่กับเรื่องนี้

 

ผมไม่ได้โตมาในครอบครัวคริสเตียน ผมเป็นเอทิอิสต์หรือคนไร้ศาสนา (atheist) ตั้งแต่ไหนแต่ไร จนกระทั่งผมได้ยินข่าวประเสริฐ รับเชื่อ และรับการอภัยบาปที่พระเจ้ามอบให้ผมอย่างไม่มีเงื่อนไข เหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตนี้เกิดขึ้นตอนผมอายุยี่สิบต้นๆ ระหว่างที่ผมเดินทางมาใช้เวลาที่อเมริกาจากอังกฤษ ผมพบผู้เชื่อในพระคริสต์ที่อธิบายเรื่องความรอดในแบบที่ผมสามารถเข้าใจได้ ผมเห็นได้ว่ามีบางอย่างที่แตกต่างไปในผู้เชื่อเหล่านี้ มันเป็นอะไรที่ผมตามหามาตลอดหลายปี พวกเขาดูมีความรักที่จริงใจ บวกกับการอุทิศตัวให้กันและกันและพระเจ้า นั้นเป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ก่อนหน้านี้ถ้าใครถามผมว่า “คริสเตียนคืออะไร?” ผมคงตอบว่าคริสเตียนที่แท้จริงคือคนที่รักษาบัญญัติสิบประการ เพราะ ณ ตอนนั้นผมไม่มีความเข้าใจว่าการเป็นคริสเตียนหมายความว่าอย่างไร แถมยังไม่รู้ว่าอะไรคือหัวใจหลักของข่าวประเสริฐอีกด้วย แต่การเป็นคริสเตียนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราทำเลย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสิ่งที่พระเจ้าได้ทำเพื่อเรา ผมเข้าใจว่าบางคนอาจจะยังสับสนอยู่ อธิบายง่ายๆ คือ มนุษย์เราไม่มีวันทำให้ตัวเองดีพอได้ พระเจ้าจึงต้องทำแทนเรา ผมหวังว่าหลังจากคุณได้อ่านบทเรียนสั้นๆนี้แล้ว คุณจะเข้าใจเรื่องราวข่าวประเสริฐได้กระจ่างชัดขึ้น

 

อย่างไรก็ตามบทเรียนนี้ถูกเขียนขึ้นสำหรับคนที่เติบโตมาในครอบครัวคริสเตียนแต่ไม่มั่นใจในความเชื่อของตัวเองด้วยเช่นกัน หลายคนประกาศว่าตัวเองเป็นคริสเตียน และอาจไปโบสถ์เป็นประจำอีกด้วย แต่กลับไม่มีความมั่นใจว่าตนเป็นลูกของพระเจ้าและสักวันหนึ่งจะได้พบพระองค์บนสวรรค์  ผมอยากช่วยให้คุณเข้าใจว่าการเป็นคริสเตียนหมายความอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระเจ้า ผมหวังว่าคุณได้มีโอกาสอ่านบทเรียนเรื่อง พระเยซูคือใคร? และ ทำไมพระเยซูต้องตาย? เรียบร้อยแล้ว หากคุณยังไม่ได้อ่านผมขอเสนอให้อ่านมันก่อนเริ่มบทเรียนนี้

 

การเป็นคริสเตียนไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ในชีวิต แต่คือการได้รับชีวิตใหม่ พระเจ้าได้มอบของขวัญแห่งความรอดให้เราเพื่อเราจะรู้แน่ว่าเรามีชีวิตนิรันดร์แล้วในพระเยซูคริสต์ พระองค์ลงมาจากสวรรค์เมื่อสองพันปีที่แล้วเพื่อมอบของขวัญนี้ให้กับทุกคนที่จะยอมรับพระองค์ เราจะไม่มีวันรู้จักพระเจ้าหากเราไม่ยอมรับว่าพระองค์ได้ให้อภัยเราแล้ว และอ้าแขนรับเอาชีวิตใหม่ที่พระเยซูมอบให้ การเป็นคริสเตียนไม่ได้เกิดจากการประพฤติตัวให้ถึงมาตรฐานบางอย่าง ความเข้าใจเช่นนี้ไกลจากความจริงอย่างยิ่ง พระเยซูบอกว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” (ยอห์น 3:3) หลักการของชีวิตใหม่นี้ได้ถูกส่งผ่านมาถึงเราเมื่อเรากลับใจใหม่ (การกลับใจใหม่หมายถึงการเปลี่ยนความคิดและทิศทางของชีวิตคุณ) และต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ เปาโลอัครทูตเขียนไว้ว่า เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!” (2 5:17) ตอนท้ายของบทเรียนนี้ หลังจากคุณมีความเข้าใจมากขึ้นแล้ว ผมได้เตรียมคำอธิษฐานหนึ่งไว้ให้คุณอธิษฐานตามเพื่อรับของขวัญจากพระเจ้า มันสำคัญมากที่เราต้องเข้าใจบางอย่างจริงๆก่อนจะอธิษฐาน อันดับแรกเลย คือ พระเจ้ารักคุณมากยิ่งกว่าสิ่งใด

 

พระเจ้ารักคุณและมีของขวัญให้คุณ

 

พระเจ้ามีของขวัญให้กับทุกคนบนโลกนี้เราเพียงแค่ต้องยื่นมือออกไปรับมัน ของขวัญไม่ใช่สิ่งที่สามารถแลกมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา มันเริ่มจากหัวใจของผู้ให้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับ มันไม่สนใจว่าเราได้ทำหรือไม่ได้ทำอะไรมาก่อน มันคือของขวัญแห่งพระคุณ ซึ่งแปลว่า “ความโปรดปรานที่ไม่สมควรได้รับ” เราไม่สมควรจะได้รับของขวัญนี้จากพระเจ้า แต่พระองค์รักเราและอยากสำแดงความเมตตาและพระคุณต่อเรา

 

เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ (เอเฟซัส 2:8-9)

 

พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ทิตัส 3:5)

 

ปัญหาของความบาป

 

มีปัญหาหนึ่งอยู่ที่เราจำเป็นต้องเข้าใจ นั้นก็คือปัญหาของความบาป พระเจ้าสมบูรณ์แบบในความบริสุทธิ์ แต่เราไม่ เราทุกคนต่างเคยทำสิ่งที่ขัดกับหลักศีลธรรม ขัดกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในเรา และที่สำคัญขัดกับกฎบัญญัติของพระเจ้า โดยธรรมชาติมนุษย์เราอยู่ในห้วงแห่งความบาป ซึ่งความบาปนี้เองแยกเราจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะมองดูความชั่ว” ฮาบากุก 1:13) ฉะนั้นเพื่อเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ความบาปที่ขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์ต้องถูกกำจัดทิ้งไป ถ้าเราไม่เข้าใจปัญหา เราจะไม่มีทางเห็นคุณค่าและน้ำหนักของวิธีแก้ไขปัญหานี้ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้เรา

 

เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า (โรม 3:23)

 

แต่ความชั่วช้าของเจ้าต่างหากที่ได้แยกเจ้าออกจากพระเจ้าของเจ้า บาปของเจ้าทำให้พระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากเจ้า พระองค์จึงไม่สดับฟัง (อิสยาห์ 59:2)

 

ความบาปคืออะไร?

 

คำว่า “บาป” ในภาษาอังกฤษมาจากคำในภาษากรีกที่มีความหมายว่า “ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้” ในยุคที่พระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาถูกเขียนขึ้น คำภาษากรีกคำนี้อธิบายถึงนักธนูที่ยิงเท่าไหร่ก็ไม่เคยถึงเป้าสักครั้ง การจะเข้าสวรรค์ได้พระเจ้าเรียกร้องความสมบูรณ์แบบเท่านั้น

 

เหตุฉะนั้นจงดีพร้อมเหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงดีพร้อม (มัทธิว 5:48)

 

ปัญหาของเราทุกคนคือไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่เราก็ไปไม่ถึงความสมบูรณ์แบบสักที เหตุผลเป็นเพราะเราทำบาปอยู่เรื่อย ซึ่งความบาปอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์เรานั้นได้ถูกถ่ายทอดมาถึงเราจากบรรพบุรุษของเรา คือ อาดัม ธรรมชาติบาปนี้เองขวางกั้นเราจากพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่ง ทำให้เราตกที่นั่งลำบากทีเดียว เพราะไม่มีวันไหนที่เราจะดีพอปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากห้วงความบาปนี้ได้ หลายคนจมอยู่กับความคิดผิดๆว่าพวกเขาต้องพยายามทำความสะอาดชีวิตตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะหันหาพระเจ้าและขอให้พระองค์ยกโทษบาปผิดที่ได้ทำ พวกเขาคิดว่าพระเจ้าต้องไม่ยอมรับพวกเขาเป็นแน่เพราะความบาปในชีวิตของพวกเขา แต่พระองค์รักคุณอย่างที่คุณเป็น คุณจะไม่มีวันดีพอ โจรที่กลับใจขณะถูกตรึงบนกางเขนข้างพระเยซู เขาไม่มีเวลามาทำความดีอะไรแล้ว แต่เขาถามพระเยซูด้วยใจถ่อม ขอให้พระองค์โปรดให้อภัยเขา คุณรู้ไหมว่าพระเยซูตอบว่าอะไร? เราบอกความจริงแก่ท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” [เมืองสวรรค์] (ลูกา 23:43) มันจะไม่มีการอวดอ้างถึงความดีของเราที่ทำให้เรามีส่วนในแผ่นดินสวรรค์ (เอเฟซัส 2:9)

 

คุณไม่สามารถช่วยชีวิตตัวเองได้

 

ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน ตัวตนเราแต่แรกเกิดนั้นไม่สมบูรณ์—เราเป็นคนบาปแต่กำเนิด โดยธรรมชาติแล้วเราทำบาป ใช่อยู่ว่าเราทำสิ่งดีสิ่งงามด้วย แต่แม้กระนั้นความดีที่เราทำก็ไม่เป็นที่พอใจสำหรับพระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก” (64:6) ถ้าแม้กระทั่งความชอบธรรมของเรานั้นยังโสโครก แล้วคุณคิดว่าความบาปของเราจะขนาดไหนในสายตาของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ถึงเราจะพยายามใช้ชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่จิตวิญญาณของเรายังแปดเปื้อนอยู่สำหรับพระองค์ แม้จะพยายามจนตัวตายก็ไม่มีทางที่เราจะเปลี่ยนตัวเองให้บริสุทธิ์เพียงพอได้

 

ชาวเอธิโอเปียจะเปลี่ยนสีผิวของตนได้หรือ? เสือดาวจะลบลายของมันได้หรือ? พวกเจ้าซึ่งคุ้นเคยกับการทำชั่ว ก็ไม่สามารถทำดีได้ (เยรเมีย์ 13:23)

 

กฎบัญญัติตัดสินว่าเรามีความผิด

 

“ท่านอาจารย์ พระบัญญัติข้อใดในหนังสือบทบัญญัติที่สำคัญที่สุด?” 37 พระเยซูตรัสตอบว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต และสุดความคิดของท่าน’ 38 นี่เป็นพระบัญญัติข้อสำคัญที่สุดและข้อแรก (มัทธิว 22:36-38)

 

ผมขออนุญาตถามคุณได้ไหม คุณคิดว่าคุณรักษาบทบัญญัติข้างต้นนี้ได้ดีแค่ไหน? แค่ข้อเดียวเท่านั้นของบัญญัติสิบประการ คุณสามารถบอกผมได้ไหมว่าคุณรักษามันได้ดีเลิศ ไม่เคยพลั้งพลาดแม้สักครั้งตลอดชีวิตที่ผ่านมา? พระเจ้ามอบบัญญัติสิบประการให้เราเพื่อเปิดโปงโรคร้ายที่กัดกินชีวิตเราจากภายใน หลายคนพยายามใช้ชีวิตที่มีศีลธรรมดีงาม เคารพและเชื่อฟังทุกบทบัญญัติของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์กลับบอกว่าบทบัญญัติเหล่านี้มีหน้าที่เปิดเผยให้เห็นว่าเราห่างไกลจากมาตรฐานความสมบูรณ์แบบที่พระเจ้ากำหนดไว้เพียงไร และเพื่อให้เราตระหนักว่าเราต้องการพระผู้ช่วยให้รอด ใครสักคนที่จะสามารถไถ่โทษบาปของเราได้ คำตอบเดียวของปัญหาบาปนี้ คือ เราต้องมาหาพระเยซูและรับการยกโทษจากพระองค์

 

ดังนั้นบทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นำเรามาถึงพระคริสต์[h] เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25 บัดนี้ความเชื่อนั้นมาถึงแล้ว เราจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติอีกต่อไป (กาลาเทีย 3:24-25)

 

คุณเคยทำบาปต่อตัวเองไหม ที่ไม่มีใครรู้?

 

เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมดแต่พลาดไปจุดเดียวก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด (ยากอบ 2:10)

 

คุณเคยทำผิดพลาดบางอย่างแต่ไม่มีใครรู้ไหม? คุณอาจซ่อนมันได้จากคนอื่น แต่จากพระเจ้านั้นคุณไม่สามารถกลมอะไรไว้ใต้พรมได้เลย พระองค์รู้ทุกสิ่ง เห็นทุกอย่าง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซ่อน ฉะนั้นแล้วมันไม่ดีกว่าหรือถ้าเราจะเข้าหาพระองค์เมื่อเราพลั้งพลาดไป? เพื่อสารภาพและรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ ผมจะลองถามอีกแบบ คุณคิดว่าก่อนใครสักคนจะถูกตัดสินว่าเป็นฆาตรกร เขาต้องฆ่าคนกี่คน? คำตอบคือคนเดียว แล้วต้องโกหกกี่ครั้งกันถึงจะถูกนับว่าเป็นคนโกหก? หนึ่งครั้งเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณคิดว่าต้องทำบาปกี่ครั้งกันถึงจะเรียกว่าเป็นคนบาป? ใช่แล้ว คำตอบคือหนึ่งครั้ง

 

โทษของบาป

 

อย่าเพิ่งรีบหมดหวังกัน ยังมีข่าวดีรออยู่ เพื่อเราจะเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรานั้น มันสำคัญยิ่งที่เราเข้าใจว่าบาปมีโทษของมัน และโทษนั้นเองก็คือความตาย การถูกพรากจากเจ้าแห่งชีวิต คือ พระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง โทษของบาปไม่ใช่แค่การตายทางกายเท่านั้น อาดัมไม่ได้ล้มลงตายทันทีที่เขากินผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน โทษของบาปคือการถูกแยกจากพระเจ้าในชีวิตหลังความตาย

 

เพราะจิตวิญญาณทุกดวงเป็นของเรา ทั้งของพ่อและของลูกล้วนเป็นของเรา จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย (เอเสเคียล 18:4)

 

เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ใน[b]พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (โรม 6:23)

 

ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปหมายความว่าอย่างไรกัน? โดยทั่วไปค่าตอบแทนคือเงินเดือนหรือค่าจ้างที่คุณได้ทุกเดือนนั้นเอง มันคือสิ่งเราสมควรได้รับสำหรับงานที่เราลงแรงทำ เช่นเดียวกันนี้ การสนองธรรมชาติบาปของเราก็มีค่าตอบแทนของมัน คือ การถูกพรากจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ซึ่งเว้นแต่เราจะมาหาพระคริสต์และรับเอาสิ่งที่พระองค์ทำแทนเราบนไม้กางเขน เราจะพินาศอย่างแน่นอนเมื่อเราต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์

 

เพราะพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้าต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (2 โครินธ์ 5:10)

 

เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา (ฮีบรู 9:27)

 

พระเยซูคือคำตอบของบาป

 

พระเยซูกล่าวว่า ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10) คำกล่าวนี้ตั้งคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ ถ้าพระเยซูมาเพื่อให้ชีวิตเรา แล้วก่อนพระองค์มาเรามีอะไร? ชีวิตที่แท้จริง หรือชีวิตของพระเจ้านั้น ถูกถ่ายทอดให้กับเราเมื่อเรากลับใจใหม่และหันหาพระเยซูคริสต์เพื่อรับเอาของขวัญแห่งชีวิตจากพระองค์เท่านั้น ก่อนหน้านี้เราเป็นเพียงแกะที่หลงหายและจมอยู่ในความตายและบาป (เอเฟซัส 2:1, 5) ทางออกเดียวของเราจากความตายและบาปคือต้องมีใครสักคนมารับโทษของการกบฎและความบาปของเราแทนเรา

 

วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป! (ยอห์น 1:29)

 

ใครสักคนนั้นคือพระเยซู พระเจ้าได้กำหนดให้พระเยซูเป็นดังลูกแกะของพระองค์ สังเวยเป็นเครื่องบูชาล้างบาปให้เราทุกคน และในเมื่อพระองค์เป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์แล้ว ทำให้ไม่มีใครอื่นสามารถหรือมีค่ามากพอจะสนองความยุติธรรมนี้และนำเราทุกคนกลับ “บ้าน” ได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จ่ายราคานี้แทนพวกเราทุกคนได้ ชีวิตของพระองค์แลกกับชีวิตของเรา เป็นการแลกเปลี่ยนที่พิเศษสุด สิ่งที่เราได้รับจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีค่าและสำคัญเกินกว่าเราจะสามารถเข้าใจได้

 

ผมจะลองเปรียบเปรยให้ดูอีกแบบ เราจะต้องมีมดสักกี่ตัวถึงจะมีค่ารวมกันเทียบเท่ากับแกะหนึ่งตัว? อาจจะสักล้านตัว ไม่ก็สิบล้านตัว หรือต้องประชากรมดทั้งโลกดี? แค่นั้นจะพอไหมสำหรับแกะหนึ่งตัว? แกะเป็นสัตว์ชั้นสูงและนับว่ามีค่ามากกว่ามดทั้งโลกรวมกันเสียอีก ทีนี้ลองคิดต่อว่า แล้วแกะกี่ตัวถึงจะมีค่าเท่ามนุษย์สักคน? สำหรับพระเจ้า แกะทั้งโลกก็เทียบไม่ได้กับคุณค่าของมนุษย์แม้คนเดียวที่ถูกสร้างตามพระฉายของพระองค์ (ปฐมกาล 1:27) ให้เราลองคิดต่อไปอีกขั้น คุณว่าราคาของการซื้อมนุษย์ทุกคนบนโลกจากตลาดค้าทาสของซาตานน่าจะสักเท่าไหร่กัน? มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์เดียวเท่านั้นที่มีค่ามากพอจะจ่ายราคานั้น และพระเจ้าองค์นี้เองได้เลือกที่จะตายแทนคนทั้งโลก

 

เรากำลังพูดถึงค่าไถ่ในรูปของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าที่ยอมสละชีวิตเพื่อแลกกับชีวิตอันเหลวแหลกของมนุษย์ นี่คือเหตุที่การตายของพระคริสต์เท่านั้นสามารถชำระหนี้บาปของเราได้ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถชำระบาปได้ แต่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระสิริทำได้ พระเจ้ายอมให้พระเยซูแบกรับความบาปของแกะทั้งโลกที่หลงหาย คือของเราทุกคนนั้นเอง เมื่อเราต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตโดยความเชื่อ เราก็ได้ถูกสร้างใหม่ หรือเกิดใหม่จากเบื้องบน ซึ่งเป็นอะไรที่ต้องจ่ายมาด้วยราคาอันสูงยิ่ง ด้วยทุกหยาดเลือดของพระเยซูคริสต์ แต่ ณ บัดนี้เราเป็นของผู้เลี้ยงแกะที่ดีแล้ว ผู้ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อแกะของเขา พระเยซูเองบอกเราอย่างชัดเจนว่าพระองค์มาพลีชีวิตเพื่อแกะนั้น (ยอห์น 10:15)

 

พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา (ยอห์น 14:6)

 

โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธในผู้อื่นไม่มีความรอดเลยเพราะไม่ได้ประทานนามอื่นที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอดแก่มนุษย์ทั่วใต้ฟ้า (กิจการ 4:10, 12)

 

พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอด (1 ทิโมธี 1:15)

 

พระเยซูชำระโทษของบาปแล้ว

 

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมพระเยซูต้องถูกกระทำทารุณโหดร้ายเกินบรรยายก่อนถึงความตายด้วย? แน่นอนว่าพระเจ้าสามารถให้บุตรของพระองค์ตายอย่างสบายๆก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าคำตอบ คือ การตายอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสนี้เปิดโปงความน่าเกลียดของบาปให้เราได้เห็นกันเต็มตา นักเทศน์คนหนึ่งถามว่า “คุณว่าพระเยซูจะเปิดโปงความเลวร้ายและน่าสยดสยองของบาปได้แค่ไหน หากพระองค์เลือกตายง่ายๆบนเตียง หรือโดยอุบัติเหตุ หรือไม่ก็โดยโรคภัยไข้เจ็บสักอย่าง?” มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งที่มนุษย์เราไม่เห็นถึงความโหดร้ายและชั่วช้าของบาป แผนของพระเจ้าคือให้พระเยซูตายแทนทุกคนที่จะเชื่อในการตายของพระองค์ ว่านั้นคือการตายของตัวพวกเขาเองด้วย เพื่อให้เห็นความชั่วช้าของบาปและโทษที่มันสมควรได้รับอย่างยุติธรรม  ด้วยรักที่พระเจ้ามีให้มนุษย์ พระองค์ลงมาจากสวรรค์ในร่างของพระบุตร คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อแทนที่เราบนไม้กางเขน และสำแดงพระเมตตาและพระคุณแก่เรา ต่อไปนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของกฎการแทนที่ซึ่งเคยปรากฎในอดีต

 

ในสงครามหนึ่งระหว่างสหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส ผู้ชายฝรั่งเศสถูกเกณฑ์เข้ากองทัพโดยระบบสุ่มจับแบบลอตเตอรี่ เมื่อชื่อของใครถูกจับได้ เขาคนนั้นต้องไปออกรบ มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่มาบอกชายคนหนึ่งว่าเขาได้ถูกเลือก แต่ชายคนนั้นกลับปฏิเสธ กล่าวว่า “ผมถูกยิงตายเมื่อสองปีที่แล้ว” ทีแรกเจ้าหน้าที่ก็สงสัยว่าเขาอาจสติไม่ดี แต่ชายนั้นยืนกรานว่าเขาได้ตายแล้วจริงๆ เขาอ้างว่าหากตรวจดูเอกสารทางทหารจะพบว่าเขาเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ “มันจะเป็นไปได้ยังไง?” พวกเจ้าหน้าที่ถาม “ก็คุณยังมีชีวิตอยู่นี่เลย” ชายนั้นจึงอธิบายว่าเมื่อนานมาแล้วชื่อเขาถูกจับได้ เพื่อนสนิทของเขาเลยเสนอว่า “นายมีครอบครัวต้องดูแล ลูกเด็กเล็กแดงตั้งหลายคน แต่เรายังไม่แต่งงาน ไม่ต้องเลี้ยงดูใคร เราจะใช้ชื่อกับที่อยู่นายและไปแทนนายเอง” เอกสารที่พบยืนยันเรื่องนี้ ทำให้กรณีพิกลนี้ถูกส่งไปถึงนโปเลียน โบนาปาร์ต ซึ่งตัดสินว่าฝรั่งเศสไม่มีสิทธิ์ทางกฎหมายเหนือชายผู้นี้อีกต่อไป เขาเป็นอิสระแล้ว เพราะเขาได้ตายแล้วในร่างของเพื่อนเขา

 

ในสายตาของพระเจ้านั้น เมื่อพระเยซูสิ้นชีวิตบนกางเขน พระองค์ได้ตายเป็นตัวแทนของเรา เพื่อปลดปล่อยเราจากพันธนาการที่ซาตาน ศัตรูของเรา มีอยู่เหนือเราผ่านกฎของบาป พระเยซูตายเพื่อคุณ ในฐานะคุณเอง สิ่งที่พระเจ้าเห็นคือพระเยซูได้ไปแทนเราแล้ว เหมือนที่เพื่อนของชายคนนั้นสละชีวิตของตัวเองให้เพื่อนที่เขารัก

 

ในเมื่อท่านตายกับพระคริสต์ พ้นจากหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ ทำไมยังยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ ราวกับว่าท่านยังเป็นของโลก (โคโลสี 2:20)

 

ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบนที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่าน[a]ปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย (โคโลสี 3:1-4)

 

พระเยซูมาเพื่อมอบชีวิตพระองค์ให้กับเรา ด้วยการตายบนไม้กางเขนและการเป็นขึ้นใหม่อีกครั้ง เราได้รับชีวิตฝ่ายเนื้อหนังจากบรรพบุรุษของเรา คือ อาดัม แต่จากพระเยซูเราได้รับชีวิตของพระเจ้า คือ ชีวิตที่ถ่ายทอดมาถึงเราเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระองค์ เพราะเมื่อใดที่เราเชื่อ ความบาปและความรู้สึกผิดที่ฝังลึกอยู่ภายในก็จะถูกชะล้างออกไป แทนที่ด้วยชีวิตของพระเจ้าที่ไหลเข้าท่วมจิตใจเรา ซึ่งบัดนี้ได้เป็นหนึ่งกับพระคริสต์แล้วโดยความเชื่อ

 

แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา (โรม 5:8)

 

โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้น[f]อย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ 16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุต องค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลกเพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า (ยอห์น 3:14-18)

 

เพราะพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อลบล้างบาปเพียงครั้งเดียวเป็นพอ คือคนชอบธรรมตายเพื่อคนอธรรมเพื่อนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า (1 เปโตร 3:18)

 

เราได้รับของขวัญแห่งความรอดเมื่อเรายอมรับพระเยซูคริสต์

 

ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ[a] หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า 14 พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงมาจากพระบิดา (ยอห์น 1:12-14)

 

พระเจ้ามอบของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ให้กับเราเมื่อเราเชื่อ พระองค์ทำให้การรับชีวิตนิรันดร์เป็นเรื่องที่ง่ายขนาดเด็กๆยังทำได้ และของขวัญแห่งชีวิตนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้และเข้าใจทุกอย่างมากแค่ไหนด้วย แต่มันขึ้นอยู่กับท่าทีของหัวใจคุณที่พร้อมจำนนต่อพระคริสต์หรือไม่ ถ้าเราไม่ยอมรับพระคริสต์ดั่งที่เด็กเล็กๆทำ เราก็ไม่สามารถมีส่วนในชีวิตนิรันดร์ได้ พระเยซูกล่าวว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าเลย” (มาระโก 10:15)

 

การยอมรับพระคริสต์และการเกิดใหม่ หรือการเกิดจากพระเจ้านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่คุณเดินเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ ยอห์นอัครทูตเสริมว่าการเกิดในครอบครัวคริสเตียนก็ไม่ได้หมายความว่าคุณได้รับความรอดแล้ว เพราะสิ่งนี้ไม่ได้มา จากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ(ยอห์น 1:13) บางคนพูดกันว่าพระเจ้าไม่มีหลาน ความหมายคือเราไม่สามารถเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้เพราะพ่อแม่เรารู้จักพระเจ้า หรือเพราะเราแต่งงานกับคริสเตียนจากเจตจำนงของสามี (ยอห์น 1:13) แค่มีคู่สมรสคริสเตียนนั้นไม่เพียงพอ การยอมรับพระคริสต์เรียกร้องให้เรายอมจำนนทั้งสิ้นที่เรามีและทั้งสิ้นที่เราเป็นต่อพระองค์ ยอห์นเขียนไว้ว่าผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ก็ได้รับสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า (ยอห์น 1:12)

 

การเชื่อพระเยซูคริสต์หมายความว่าอย่างไร?

 

การเชื่อไม่ใช่แค่การรับรู้สิ่งที่พระคริสต์ทำบนไม้กางเขนเพื่อเราเป็นข้อมูลบางอย่าง แต่มันคือการเชื่อและวางใจในพระคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ผมขอยกตัวอย่างนักไต่เชือกระดับตำนานชาวฝรั่งเศสนามว่า Blondin ผู้เดินข้ามน้ำตกไนแองการ่ากว่า 300 ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ไต่เชือกข้ามน้ำตกนั้นกลับไปกลับมาหลายรอบ Blondin หันไปถามหมู่ผู้ชมว่ามีใครเชื่อไหมว่าเขาสามารถพาหนึ่งในผู้ชมข้ามไปได้ เสียงเฮดังลั่นขึ้นทันใดเป็นการเห็นด้วยว่าต้องทำได้แน่นอน แต่เมื่อเสียงเชียร์สงบลง เขาก็เริ่มถามผู้ชมทีละคนว่าพร้อมขี่หลังเขาและข้ามไปด้วยกันไหม ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าสักคนเดียว การเชื่อในพระเยซูคริสต์คือการวางใจในพระองค์ ความเข้าใจที่อยู่แต่ในหัวนั้นไม่เพียงพอ เราต้องกล้าต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิตและอนุญาตให้พระองค์อุ้มเราข้ามน้ำตกจากวันนี้เป็นต้นไป ในวันนี้เราสามารถยอบรับพระองค์เหมือนดังที่เด็กเล็กๆทำได้หรือไม่?

 

เราอยู่ที่นี่แล้ว! เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้นและเขาจะรับประทานร่วมกับเรา

 

(วิวรณ์ 3:20)

 

การสารภาพบาป

 

เวลาเราพูดถึงการสารภาพบาป เรากำลังพูดถึงการเปิดเผยต่อพระเจ้าสิ่งที่เราได้ทำซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่าผิด คำว่าสารภาพบาปในภาษากรีกแปลว่า การกล่าวสิ่งเดิม รวมทั้งยอมรับและเห็นด้วยกับพระเจ้าเกี่ยวกับบาปที่ได้ทำ อย่าพยายามอธิบายด้วยหลักเหตุผลว่าทำไมคุณทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือทำไมความบาปบางอย่างที่พระเจ้าชี้ให้คุณเห็นไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ในความคิดของคุณ แค่ยอมรับความบาปที่ทำและรับการยกยกโทษจากพระเจ้า มารมักกระซิบข้างหูเราอยู่เรื่อยว่า มันไม่ร้ายแรงเท่าไหร่หรอก เราต้องต้านทานเสียงนี้ให้ได้ และร้องขอความเมตตาจากพระเจ้า การเข้าหาพระเจ้าส่วนตัวเพื่อสารภาพบาปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราให้ตระหนักถึงนั้นนับเป็นสิ่งที่ฉลาดและควรทำอย่างยิ่ง มันจะช่วยปลดภาระบาปจากเรา เพราะท้ายที่สุดแล้วพระองค์รู้ทุกอย่างอยู่ดี เราไม่สามารถซ่อนสิ่งใดจากพระองค์ได้

 

ผู้ใดยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับเขาต่อหน้าพระบิดาของเราในสวรรค์เช่นกัน  แต่ผู้ใดไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาของเราในสวรรค์ (มัทธิว 10:32-33)

 

ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด  เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด (โรม 10:9-10)

 

ความมั่นใจในความรอด

 

หลายปีที่แล้วมีหญิงสาวคนหนึ่งมาปรึกษาเหล่าอาจารย์ของโบสถ์หนึ่งถึงความต้องการอยากมีส่วนร่วมในโบสถ์นั้น คำถามแรกที่เธอถูกถามคือ “คุณได้ตระหนักแล้วหรือยังว่าคุณเคยเป็นคนบาป?” “ค่ะ” เธอตอบอย่างไม่ลังเล คำถามที่สองที่เธอถูกถามคือ “คุณคิดว่าคุณได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้วหรือไม่” “ได้ค่ะ ดิฉันมั่นใจ” เธอตอบโดยทันที คำถามสุดท้ายตามมาว่า “แล้วคุณคิดว่าคุณเปลี่ยนไปอย่างไร?” “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ ก่อนดิฉันมาเป็นคริสเตียน ดิฉันวิ่งเข้าหาบาป ตอนนี้ดิฉันวิ่งหนีมัน” สิ่งนี้เองคือหลักฐานของตัวตนที่เปลี่ยนไปเพราะได้ผ่านการเกิดใหม่แล้ว มันคือทั้งทัศนคติและทิศทางที่เปลี่ยนไป

 

เรามาดูกันว่าหลักฐานของผู้ที่เกิดใหม่แล้วนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ก่อนอื่นเราต้องจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราเองจะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่มันคือผลของการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่เนื้อหนังของเรา

 

  1. คุณเชื่อในข่าวประเสริฐจริงๆหรือไม่? เราไม่ได้พูดถึงความเข้าใจและการยอมรับความจริงของข่าวประเสริฐทางความคิด แต่การเชื่อด้วยใจที่ผลักดันให้เราใช้ชีวิตประจำวันด้วยค่านิยมซึ่งมาจากเบื้องบน เพราะท้ายที่สุดแล้วชีวิตคุณจะเป็นตัวบ่งบอกเองว่าคุณเชื่อจริงหรือไม่ พระเยซูกล่าวว่า ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่นและพุ่มหนามจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ?” (มัทธิว 7:16) หลักฐานอันแสดงถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตคุณนั้นควรเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ (กาลาเทีย 5:16-25)

 

  1. คุณมีหัวใจที่รู้สึกรักและขอบคุณพระเยซูที่ได้ตายบนไม้กางเขนเพื่อคุณหรือไม่?

 

  1. คุณมีความหิวกระหายอยากรู้จักพระคำของพระเจ้าหรือไม่? “แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ ความรักของพระเจ้า[b] ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น ด้วยวิธีนี้เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์คือ (1 ยอห์น 2:5)

 

  1. ภายในใจคุณรอคอยการกลับมาอีกครั้งของพระเยซูหรือไม่? “เพื่อนที่รัก บัดนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไรเรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ย่อมชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์(1 ยอห์น 3:2-3)

 

  1. คุณโกรธและผิดหวังกับตัวเองหรือไม่เวลาคุณทำบาป? ถ้าคุณได้เชิญพระเยซูมานั่งบนบัลลังก์ในชีวิตคุณและมอบชีวิตคุณให้พระองค์แล้ว พระวิญญาณจะช่วยทำให้คุณสำนึกบาปผิดที่ทำไป

 

  1. คุณรักผู้อื่นที่รักพระเจ้าด้วยเหมือนกันหรือไม่? คุณมีสันติสุขเมื่อใช้เวลากับคริสเตียนคนอื่นหรือไม่? “เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตเพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รักผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย” (1 ยอห์น 3:14)

 

  1. คุณสามารถรับรู้ได้หรือไม่ถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำงานอยู่ในชีวิตคุณ? ถ้าใช่ สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันถึงชีวิตใหม่ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในคุณ เรารู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา” (1 ยอห์น 4:13)

 

37 คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขาไป 38 เพราะเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราเองแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 39 และพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาคือ ไม่ให้เราสูญเสียคนทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว แต่จะให้คนเหล่านี้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 40 เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 6:37-40)

 

เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา! (2 โครินธ์ 5:17)

 

ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า (กาลาเทีย 2:20)

 

“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดฟังคำของเราและเชื่อพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และจะไม่ถูกลงโทษ เขาได้ผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว (ยอห์น 5:24)

 

ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ (1 ยอห์น 5:13)

 

ความรักเช่นนี้แปลกประหลาดมากสำหรับสมองอันเล็กน้อยของมนุษย์เรา มันแทบจะดีเกินจริงที่พระเจ้าแห่งจักรวาลจะลงมาตายแทนเรา รับการทรมานแสนหฤโหดแทนเรา ทั้งที่เราเองสมควรต้องได้รับมันเพราะความบาปที่ทำ C.T. Studd นักคริกเกตและมิชชันนารีผู้โด่งดังชาวอังกฤษได้กล่าวว่า “ถ้าพระเยซูคริสต์คือพระเจ้าและทรงตายแทนผม ไม่มีการเสียสละใดจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผมจะทำเพื่อพระองค์เป็นแน่” เพราะหากไม่มีทางเลือกใดอีกแล้วนอกจากที่พระคริสต์จะตายแทนเราเพื่อชำระบาป มันยืนยันถึงผลอันร้ายแรงยิ่งของบาป และชี้ให้เห็นว่ามันสำคัญเพียงใดสำหรับพระเจ้าที่หนี้บาปต้องถูกเปลื้องจากตัวเรา เพื่อให้เราสามารถมีความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์กับพระองค์อีกครั้ง เราควรทำทุกสิ่งที่ทำได้ที่จะทิ้งบาปไว้เบื้องหลัง และก้าวไปข้างหน้าสู่ชีวิตใหม่ พร้อมเชื่อฟังพระเจ้าของเราในทุกเรื่อง

 

คุณจะตอบสนองอย่างไรต่อพระคำของพระเจ้าในตอนนี้? คุณอาจรู้สึกพร้อมแล้ววันนี้ที่จะอธิษฐานสั้นๆตามผม ด้วยความเชื่อและความไว้ใจในพระคริสต์และสิ่งที่พระองค์ทำให้สำเร็จแล้วบนกางเขน ถ้าเช่นนั้น ขอให้คุณอธิษฐานตามนี้ว่า

 

คำอธิษฐาน: ข้าแต่พระบิดา ลูกเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพระเยซูมาเพื่อให้ชีวิตใหม่กับลูก วันนี้ลูกวางใจในพระองค์และเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทำสำเร็จแล้วบนกางเขนเพื่อลูก ที่ผ่านมาลูกได้ทำบาปและทำสิ่งที่ผิดมากมาย ลูกขอหันจากบาปและหันหาพระองค์ ลูกขอบคุณพระองค์ที่ส่งบุตรของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อช่วยลูกจากบาป ลูกขอเชิญพระเยซูเข้ามาในชีวิตและชำระลูกให้สะอาด ลูกต้องการพระองค์วันนี้ เอเมน

 

ถ้าคุณได้อธิษฐานตามคำอธิษฐานนี้ เราอยากได้ยินว่าคุณคิดอย่างไรกับบทเรียนนี้ คุณสามารถส่งอีเมลมาหาเราได้ตามที่อยู่ด้านล่าง หากคุณสนใจจะเรียนรู้เพิ่มเกี่ยวกับพระเยซู กดลิงค์เว็บไซต์ด้านล่างได้เลยครับ

 

คีธ โธมัส (Keith Thomas)

 

อีเมล: keiththomas@groupbiblestudy.com

 

เว็บไซต์: www.groupbiblestudy.com

bottom of page