top of page

3. You Must Be Born Again!

สำหรับการศึกษาเพิ่มเติมในชุดนี้ คลิกที่นี่

3. คุณต้องเกิดใหม่!

ยอห์น 3:1-12

 

ฉันใหม่กับเรื่องนี้

 

พวกเราหลายคนคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า “คุณต้องเกิดใหม่!” มันคือข้อพระคัมภีร์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีและมักจะเป็นที่พูดติดปากของกลุ่มคริสเตียนจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก  ดังนั้นหลายคนมักจะนึกถึงคริสเตียนบางกลุ่มเมื่อได้ยินคำว่า “เกิดใหม่” อย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมว่าพระเยซูเองคือผู้กล่าวประโยคน่าฉงนนี้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ “คุณต้องเกิดใหม่” เป็นคำตอบของพระเยซูต่อคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราจะถามได้ “ฉันจะได้รับชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร?”  จากคำถามนี้และคำตอบของมัน เราพบหัวใจหลักของพระกิตติคุณ

 

คนทั่วไปมากมายในเวลานั้นพยายามเข้าใกล้พระเยซู สำหรับพวกเขาแล้วมันปลอดภัยที่จะใกล้ชิดกับพระเยซู เพราะเขาไม่ค่อยมีอะไรจะเสีย แต่พวกที่มีตำแหน่งหน้าที่ในสถาบันศาสนานั้นคอยจ้องมองพระเยซูอยู่ห่างๆ บางทีอาจเพราะพวกเขาประหลาดใจในคำสอนของพระเยซูแต่ด้วยบทบาททางสังคมแล้วกลับต้องมองแต่ไกลๆ พวกเขารู้ดีว่าการติดตามพระเยซูหรือการเห็นดีเห็นงามกับคำสอนของพระองค์นั้นอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของตัวเอง ผู้คนอาจตีตราว่าพวกเขาคบหาสมาคมกับคนนอกรีต หรือหมอผี หรือไม่ก็คนบ้าศาสนา เพราะนี่คือสิ่งที่สถาบันศาสนาของพวกเขาคิดเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์เป็นที่ถกเถียงของผู้คนในชั่วโมงนั้น และยังคงเป็นอยู่ทุกวันนี้  ในพระกิตติคุณยอห์นบทที่สาม มีชายคนหนึ่งไปเยี่ยมพระเยซู เขาเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในแวดวงของเขา ชายผู้นี้มีนามว่า นิโคเดมัส

 

ฟาริสีนามว่า นิโคเดมัส

 

1 มีฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ซึ่งเป็นผู้อยู่ในระดับปกครองของชาวยิว เขาได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและกล่าวว่า “รับบี พวกเราทราบว่าท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดสามารถแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ เหมือนที่ท่านกระทำได้ เว้นแต่ว่า พระเจ้าจะอยู่กับผู้นั้น” พระเยซูตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเกิดใหม่” นิโคเดมัสพูดขึ้นว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เขาจะกลับเข้าไปในท้องแม่เป็นครั้งที่สอง แล้วเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ” พระเยซูตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่าเขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ สิ่งที่เกิดจากเนื้อหนังก็จะเป็นฝ่ายเนื้อหนัง และสิ่งที่เกิดจากพระวิญญาณก็จะเป็นฝ่ายวิญญาณ อย่าประหลาดใจที่เราพูดกับท่านว่า ‘ท่านจะต้องเกิดใหม่’ ลมจะพัดไปทางไหนก็พัดไป ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่อาจทราบได้ว่าพัดมาจากไหน และจะพัดไปที่ไหน เช่นเดียวกับทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณนิโคเดมัสถามพระองค์ว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร” 10 พระเยซูตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอลแล้วยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเราพูดถึงสิ่งที่พวกเรารู้ และยืนยันในสิ่งที่พวกเราได้เห็น แต่ท่านทั้งหลายก็ยังไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา 12 เราพูดให้ท่านฟังถึงสิ่งต่างๆ ทางโลก แต่พวกท่านไม่เชื่อ แล้วจะเชื่ออย่างไรถ้าเราพูดถึงสิ่งต่างๆในสวรรค์ (ยอห์น 3:1-12) 

 

ยอห์น อัครทูตช่วยแนะนำให้เรารู้จักพระองค์ผู้มีนามว่า เยซูคริสต์ แล้วระดับหนึ่ง ยอห์นพูดถึงการที่พระองค์อยู่ด้วยกับพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม พิธีบัพติศมาของพระองค์โดยยอห์น ผู้ให้บัพติศมา และการที่พระองค์ได้เรียกพวกเราให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์  ในบทที่สามนี้ยอห์นบรรยายถึงคำสอนแรกซึ่งเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดของพระเยซูอีกด้วย คำเทศนาแรกของพระองค์นี้พูดถึงความจำเป็นที่เราจะต้องบังเกิดใหม่  พระองค์พูดกับเราอย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่พระองค์เริ่มเทศนาสั่งสอนว่า มนุษย์ไม่มีวันจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าได้โดยใช้ความดีของเขา นี่คือเหตุผลที่พระเยซูใช้คำอุปมาเรื่องการเกิดใหม่ มันไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถบรรลุเองได้ด้วยกำลังหรือความสามารถของเรา  มีใครบ้างสามารถเลือกเกิดได้? เราไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆทั้งนั้น เราแต่ละคนเกิดมาบนโลกนี้ได้เพราะพระเจ้าและการตัดสินในขอมนุษย์สองคน พระเจ้าเองคือผู้ริเริ่มการบังเกิดใหม่ของเรา พระองค์เปิดทางให้เรากลับมาหาพระองค์ผ่านแผนการไถ่บาป สิ่งที่เราทำไม่ได้ พระองค์ทำสำเร็จผ่านพระบุตรองค์เดียวของพระองค์

 

เราพอสันนิษฐานได้ว่านิคโคเดมัสเจอพระเยซูตัวต่อตัวในกรุงเยรูซาเล็ม เพราะในบทก่อนหน้าเราเห็นว่าพระเยซูไปร่วมเทศกาลปัสกา และหลายคนที่นั้นก็เห็นพระองค์กระทำการอัศจรรย์มากมายและเริ่มเชื่อในพระองค์ (ยอห์น 2:23) พระเยซูเองกล่าวว่าพระองค์สั่งสอนอยู่เสมอในศาลาที่ประชุมและในพระวิหารที่พวกชาวยิวมาชุมนุมกัน (ยอห์น 18:20) ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านิโคเดมัสได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์เดียวกันด้วย

 

พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเรา 3 อย่างด้วยกันเกี่ยวกับที่มาที่ไปของนิโคเดมัส

 

1)  เขาเป็นฟาริสี หมายความว่าเขา “อยู่ในระดับปกครองของชาวยิว” (ยอห์น 3:1) พวกฟาริสีเป็นกลุ่มคนที่เคร่งครัดเรื่องศาสนาอย่างมาก และมีด้วยกันไม่เกิน 6,000 คนเสมอ พวกเขาอุทิศตนให้กับการศึกษาทุกตัวอักษรของบทบัญญัติดังที่พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและครูสอนศาสนาของอิสราเอลได้ตีความไว้  สำหรับพวกฟาริสีแล้วมันไม่เพียงพอที่เราจะรักษาบทบัญญัติที่โมเสสได้จารึกไว้ในหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ พวกเขาต้องการอธิบายบทบัญญัติทุกข้ออย่างชัดเจนและร่างมันออกมาเป็นกฎหมาย เช่น พวกเขาต้องการระบุอย่างเจาะจงว่าการทำงานในวันสะบาโตประกอบด้วยงานใดบ้าง การไปเดินเล่นนั้นนับเป็นงานหรือไม่? เดินได้ไกลแค่ไหน? จะถือของในมือได้หรือไม่ขณะออกไปเดิน? พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติได้ร่างกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมาทั้งหมด 63 เล่ม รวมกันเรียกว่า คัมภีร์ทัลมุด เพื่ออธิบายและให้คำจำกัดความบทบัญญัติทั้งหลายที่ชาวยิวต้องปฏิบัติตาม  การเดินทางในวันสะบาโตตามที่พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติกำหนดไว้นั้นห้ามเกิน 914 เมตร แต่หากบนถนนมีเชือกพ่วงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดให้นับว่าเป็นเหมือนบ้านหนึ่งหลัง ดังนั้นจึงสามารถเดินต่อได้อีก 914 เมตร หลังสุดเชือกนั้น  นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นความละเอียดและเข้มงวดของกฏเหล่านี้

 

2)  ไม่เพียงแต่นิโคเดมัสจะเป็นฟาริสีแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิก 70 คนของซานเฮดริน สภาชาวยิวและศาลสูงสุดของชาวยิวทุกคนทั้งในเรื่องราวของพลเรือนและการศาสนา

 

3)  พระเยซูเรียกเขาเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล (ยอห์น 3:10) พระองค์รู้จักเขา ไม่ต่างกับที่ชาวยิวทั้งหลายคุ้นเคยกับเขาดี ข้อพระคัมภีร์นี้ซึ่งกล่าวถึงนิโคเดมัสในฐานะอาจารย์นั้น ในภาษากรีกระบุว่าเขาเป็นถึงอาจารย์สูงสุดในประเทศ มันเป็นไปได้มากว่าอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติไม่น้อยมองเขาเป็นแบบอย่างในการรักษากฎบัญญัติข้อเล็กข้อน้อยต่างๆที่ทำให้พวกเขาเป็นฟาริสีที่ชอบธรรม

 

คำถามที่ 1)  อะไรทำให้คนอย่างนิโคเดมัสมาหาพระเยซูในยามวิกาล? (ยอห์น 3:2) ถึงแม้เขาเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา เขาต้องการคำตอบบางอย่างจากพระเยซู คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเขาที่ผลักดันให้เขาออกตามหาคำตอบฝ่ายวิญญาณ?

 

ทำไมเขาถึงมายามค่ำคืน? อาจเป็นเพราะเขาเห็นฝูงชนที่รายล้อมพระเยซูช่วงกลางวัน และเห็นพระเยซูให้ความสนใจกับคนที่มาหาพระองค์ เขาอาจจะอยากใช้เวลาส่วนตัวกับพระเยซูในช่วงที่พระองค์ไม่วุ่นวายกับสิ่งต่างๆ  แต่มันก็เป็นไปได้อีกว่าคนอย่างนิโคเดมัสมีความรับผิดชอบหลายอย่างตอนกลางวัน และไม่มีเวลามาวิ่งตามหาคำตอบให้กับคำถามมากมายในใจเขา ฉะนั้นเมื่องานเสร็จเขาจึงค่อยปลีกตัวมาหาพระเยซู  หรือความเป็นไปได้ที่สามคือ นิโคเดมัสอยากเลี่ยงการถูกต่อต้านและเยาะเย้ยจากพวกอาจารย์ศาสนาของยิวทั้งหลาย เขาจึงเลือกมาตอนดึกดื่นเพื่อไม่ให้ใครเห็นเขาเข้าหาพระเยซูในแบบนี้ เพราะในเวลากลางวันเขาต้องทำหน้าที่อาจารย์ของชาวอิสราเอล ผู้คอยจับจ้องดูทุกการเคลื่อนไหวของพระองค์ขณะที่พระองค์สอนอยู่ในศาลาที่ประชุม

 

นิโคเดมัสทราบดีว่าหัวหน้ามหาปุโรหิตและคนอื่นๆในซานเฮดรินรู้สึกอิจฉาและเกลียดพระเยซูเพียงใด ในภายหลังเมื่อนิโคเดมัสได้ยินว่าพวกฟาริสีกำลังวางแผนจับกุมพระเยซู เขาพยายามช่วยแก้ต่างให้พระองค์ต่อหน้าสภาชาวยิว แต่ที่ประชุมที่รังเกียจพระองค์อยู่แล้วก็สั่งให้เขาเงียบไป

 

50 นิโคเดมัสเป็นผู้หนึ่งในพวกเขา ซึ่งเป็นคนที่มาหาพระเยซูก่อนหน้านี้และได้ถามพวกเขาว่า 51 “กฎบัญญัติของเราไม่ควรกล่าวโทษคน จนกว่าจะฟังเขาก่อนและรู้ว่าเขากระทำอะไรมิใช่หรือ” 52 เขาเหล่านั้นตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูให้ดีเถิด แล้วท่านจะพบว่าไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดที่มาจากแคว้นกาลิลี” (ยอห์น 7:50-52)

 

ซาตาน ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อจิตวิญญาณของเรานั้น ต้องการขู่เราให้กลัวจนขวัญเสีย ไม่กล้าพูดอย่างเข้มแข็งถึงความเชื่อของเราที่มีในพระเยซู  วิญญาณชั่วที่มีกิจการในโลกเราพยายามอยู่เสมอที่จะบั่นทอนอิทธิพลของผู้เชื่อในพระคริสต์ (เอเฟซัส 2:2) มันน่าเศร้าที่หลายครั้งเราขาดความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและซ่อนความเชื่อของเราเอาไว้  พระคัมภีร์บอกเราว่าผู้ชอบธรรมนั้นกล้าหาญดุงสิงห์ (สุภาษิต 28:1) ให้เรากล้าหาญเข้าไว้ในทุกๆวันที่เราต้องยืนหยัดเพื่อพระคริสต์ท่ามกลางผู้ที่ไม่เชื่อ

 

ไม่ว่านิโคเดมัสจะมาหาพระเยซูด้วยเหตุผลใดคืนนั้น เราเห็นชัดว่ามีบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในใจของเขา นิโคเดมัสมั่นใจว่าพระเยซูต้องมีบางอย่างที่เขาไม่มีแน่ๆ เขาไม่ได้มีโอกาสบอกว่าอะไรนำเขามาหาพระเยซู สิ่งเดียวที่เขาได้บอกพระองค์คือ เขาเห็นได้ว่าพระเจ้าอยู่กับพระองค์ และเขาเชื่อว่าพระเยซูถูกส่งมาจากพระเจ้าเป็นแน่ (ยอห์น 3:2) แม้กระนั้นเขากลับไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองเชื่อในสิ่งนี้ เพราะเขากล่าวว่า “พวกเราทราบว่าท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า” (ยอห์น 3:2) ดังว่ามีคนอื่นอีกที่เชื่อเช่นนี้

 

นิโคเดมัสมีความเข้าใจโดยสัญชาตญาณบางอย่าง มีเสียงในใจเขา หรือการตระหนักรู้ที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆถึงความจริงของพระคริสต์ และความสิ้นเนื้อประดาตัวฝ่ายวิญญาณของตนเอง  เขาอยู่ในช่วงที่เพิ่งเริ่มจะสนใจชายผู้มีนามว่าเยซู แต่ไม่ถึงขั้นที่จะยอมรับพระองค์อย่างเต็มปากเต็มคำ  “เจ้าเยซูนี่มันเป็นใครกัน?” ต้องเป็นหัวข้อการเสวนาที่เผ็ดร้อนในแวดวงเพื่อนฟูงเขาเป็นแน่ โดยเฉพาะหลังจากที่พระเยซูเข้าไปในพระวิหารและขับไล่พวกคนแลกเปลี่ยนเงินตรา และพวกคนขายสัตว์สำหรับถวายเครื่องบูชาออกจากวิหาร  แน่นอนว่าการอัศจรรย์ที่นิโคเดมัสเห็นพระเยซูทำช่วยให้เขาตระหนักว่าชายผู้นี้พิเศษกว่าที่ตาเห็น แต่ถึงเขาจะประสบความสำเร็จเพียงไร ณ ตอนนั้นเขายังขาดความมั่นใจลึกๆว่าตัวเขาชอบธรรมและดีพอแล้วในสายตาพระเจ้า เขาจึงมาหาพระคริสต์ในคืนนั้น เพื่อหาคำตอบว่าสิ่งที่หายไปคืออะไร  เปาโล อัครทูตของพระเยซู บอกเราผ่านจดหมายที่เขาเขียนถึงคริสตจักรในกรุงโรมว่า เราทุกคนที่เป็นคริสเตียนมีเสียงภายในใจ เป็นดั่งพยาน ยืนยันว่าเราเป็นของพระคริสต์แล้ว

 

15 และท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวได้อีก แต่ท่านได้พระวิญญาณแห่งการได้รับการยกฐานะเป็นบุตร และเราร้องเรียกว่า “อับบา พระบิดา” ได้ก็เพราะพระวิญญาณ 16 พระวิญญาณเองได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเราว่า เราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า 17 ถ้าเราเป็นบรรดาบุตร เราก็เป็นผู้รับมรดก คือเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเรามีส่วนร่วมในการทนทุกข์ทรมานร่วมกับพระองค์ เราจะได้มีส่วนร่วมกับพระบารมีของพระองค์ด้วย (โรม 8:15-17)

 

คำถามที่ 2) คุณคิดว่าการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานให้กับจิตวิญญาณของเรานั้นหมายความว่าอย่างไร?

 

ความรอดเป็นไปไม่ได้โดยมนุษย์

 

ในฐานะผู้ปกครองบ้านเรือน อาจารย์ และฟาริสี ชายผู้นี้มีความชอบธรรมอันเป็นที่อิจฉาของคนทั้งประเทศ แต่เขาก็ยังขาดบางอย่างอยู่ เขาไม่ดีพอ! พระเยซูสอนว่าการทำดียังไม่เพียงพอ

 

เราขอบอกท่านว่า ถ้าการกระทำของท่านที่เป็นไปตามความชอบธรรมไม่เหนือไปกว่าของพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีแล้ว (ซึ่งนิโคเดมัสเป็นทั้งคู่) ท่านจะไม่มีวันเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ (มัทธิว 5:20)

 

พระเยซูรู้ว่านิโคเดมัสมีคำถามอะไรในใจ พระองค์บอกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเกิดใหม่” (ยอห์น 3:3)  ในภาษากรีกคำว่า “ใหม่” ที่มากับ เกิดใหม่ คือคำว่า anōthen ซึ่งมีสองความหมายด้วยกัน มันสามารถแปลว่า อีกครั้ง หรือ จากเบื้องบน คือพระเจ้าต้องทำงานในจิตใจของเราก่อนที่เราจะเริ่มเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ทั้งสองความหมายนี้ถูกต้อง คำพูดของพระเยซูทำให้นิโคเดมัสแปลกใจไม่น้อย เพราะสำหรับพวกยิวที่เคร่งครัดเรื่องศาสนา พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อตนเองเป็นลูกหลานของอับราฮัมและรักษาบทบัญญัติอย่างดีแล้ว จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์อย่างแน่นอน ภายนอกพวกเขาดูดี แต่ภายในเต็มไปด้วยการเสแสร้ง

 

วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านเป็นเหมือนถ้ำเก็บศพฉาบด้วยปูนขาวซึ่งภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกของคนตายและสิ่งที่เป็นมลทินทั้งปวง (มัทธิว 23:27)

 

ภายในเราทุกคนต้องมีความชอบธรรมของพระเจ้าที่ได้ถูกถ่ายทอดมาจากพระคริสต์เอง  หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในแล้ว ชีวิตของเราก็เหมือนเดิม  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงต้องมาจากภายใน ทว่าโดยตัวเราเองไม่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ หรือการเกิดใหม่นี้ได้  เราจำเป็นต้องเชื่อมกับแหล่งกำเนิดการเปลี่ยนแปลง! ตัวตนของเราภายใน คือหัวใจของเรานั้น ต้องถูกซ่อมแซม  เราเรียกกระบวนการนี้ว่า การเกิดใหม่ พระองค์ช่วยเราให้รอดพ้น มิใช่ด้วยการกระทำอันชอบธรรมของเราเอง แต่เป็นเพราะความเมตตาของพระองค์โดยการชำระล้างในการเกิดใหม่ และเป็นขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ทิตัส 3:5) การเป็นคริสเตียนไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ในชีวิต แต่คือการได้รับชีวิตใหม่  J. Sidlow Baxter นักเขียนคนหนึ่งได้กล่าวว่า “การเกิดใหม่เปรียบดั่งน้ำพุ และการทำให้บริสุทธิ์คือแม่น้ำ”

 

สิ่งที่พระเยซูพูดกับนิโคเดมัสท้าทายเขานัก  คนยิวมีความเชื่อว่าถ้าใครร่ำรวยมั่งคั่ง เขาคนนั้นก็ใกล้ได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์แล้ว ในคำสอนของพระเยซูอีกตอนหนึ่งพระองค์บอกกับเหล่าสาวกว่าการที่คนรวยจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร พวกเขาต่างประหลาดใจกับคำพูดนี้

 

23 พระเยซูกล่าวกับพวกสาวกว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ยากที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ 24 เราขอบอกเจ้าอีกว่า ตัวอูฐจะผ่านเข้ารูเข็มก็ยังจะง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 25 เมื่อพวกสาวกได้ยินดังนั้นก็อัศจรรย์ใจยิ่งนักและพูดว่า “แล้วใครเล่าที่จะมีชีวิตรอดพ้นได้” 26 พระเยซูมองดูพวกเขาแล้วกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะช่วยตนเองให้รอดพ้น แต่ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทำได้” (มัทธิว 19:23-26)

 

บางคนสอนว่ารูเข็มนี้กล่าวถึงประตูเมืองที่แคบมาก จะผ่านเข้าไปได้เราต้องสละ สัมภาระ ที่อูฐของเราแบกไว้เสียก่อน แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราควรตีความข้อพระคัมภีร์นี้ตามตัวอักษรเลย ผมเชื่อว่าพระเยซูกำลังบอกเราว่า เช่นเดียวกับที่มันเป็นไปไม่ได้ที่อูฐจะผ่านเข้ารูเข็ม การที่มนุษย์คนใดไม่ว่าจนหรือมั่งมีจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าโดยไม่เกิดใหม่ หรือไม่ได้เกิดจากเบื้องบนนั้นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน  ปราศจากการเกิดใหม่ที่พระเจ้ากระทำให้ในชีวิตของเราแล้ว เราจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า มันจึงสำคัญยิ่งที่เราเห็นความสำคัญของการที่พระเยซูกล่าวว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้า(ยอห์น 3:3, 5, 11) ถึงสามครั้งด้วยกันในพระคัมภีร์เพียงตอนเดียวนี้เท่านั้น การที่พระองค์เกริ่นนำดังนี้บอกถึงความสำคัญของที่สิ่งพระองค์ลังจะพูด

 

มันยากสำหรับเราที่คุ้นเคยกับการมองชีวิตจากมุมมองภายนอก ที่จะเข้าใจความจำเป็นของการเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ นิโคเดมัสตอบสนองในแบบเดียวกันกับที่พวกเราส่วนใหญ่คงจะทำเมื่อได้ยินสิ่งที่พระเยซูพูดเป็นครั้งแรก เขาทำได้แค่พยายามเข้าใจมันจากมุมมองของมนุษย์ ซึ่งไม่มีตรรกะใดช่วยอธิบายสิ่งที่พระเยซูพูดได้อย่างสมเหตุสมผล มันทำให้เขาสับสนอย่างมาก เพราะหากเขาตีความสิ่งที่พระองค์พูดตรงๆเลยนั้น หมายความว่าเขาต้องกลับเข้าไปในท้องแม่อีกครั้งก่อนจะสามารถเกิดใหม่ได้ เขากำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินอย่างตรงตัว และมันก็น่าฉงนทีเดียว

 

พระเยซูบอกนิโคเดมัสว่าไม่มีใครสามารถสัมผัสแผ่นดินของพระเจ้าได้หากพระเจ้าไม่ได้ถ่ายทอดชีวิตฝ่ายวิญญาณให้เขา พระองค์ชัดเจนเรื่องนี้มากถึงขั้นที่แทบจะสะกดออกมาเป็นคำๆให้ทั้งนิโคเดมัสและเราในวันนี้ได้เข้าใจ พระองค์กล่าวว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่าเขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ สิ่งที่เกิดจากเนื้อหนังก็จะเป็นฝ่ายเนื้อหนัง และสิ่งที่เกิดจากพระวิญญาณก็จะเป็นฝ่ายวิญญาณ” (ยอห์น 3:5-6) สิ่งที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นฝ่ายเนื้อหนัง แต่การจะเข้าแผ่นดินฝ่ายวิญญาณเรียกร้องว่าวิญญาณที่ตายแล้วของคุณได้รับของขวัญพิเศษ คือชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า  พระองค์ไม่ได้บอกว่า บางคน จะไม่สามารถเข้าได้เว้นแต่เขาจะเกิดใหม่ก่อน แต่พระองค์ใช้คำพูดเด็ดขาดเลยว่า ไม่มีผู้ใดจะเข้าได้ เว้นแต่สองสิ่งจะเกิดขึ้นในชีวิตของผู้นั้น คุณไม่สามารถเป็นคริสเตียนโดยแค่พยายามใช้ชีวิตแบบคริสเตียน  ดังที่คุณไม่มีเอี่ยวแม้สักนิดกับการเกิดมาบนโลกนี้ ความรอดนั้นก็ได้ถูกมอบให้คุณเป็นของขวัญจากพระเจ้า (เอเฟซัส 2:8) สองสิ่งที่พระเยซูบอกเราว่าจำเป็น คือ การเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ

 

เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ

 

จนกว่าเราจะพบพระคริสต์และได้รับของขวัญคือชีวิตนิรันดร์ ความตายนั้นก็ยังมีผลในชีวิตเรา  ตอนที่อาดัมไม่เชื่อฟังคำเตือนของพระเจ้า คือวันที่เขากินผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน พระเจ้าบอกอาดัมว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน (ปฐมกาล 2:17) อาดัมไม่ได้ตายทางกายจนกระทั่งเขาอายุ 930 ปี (ปฐมกาล 5:5) ความตายเริ่มมีผลต่อเขาตั้งแต่วันที่เขาทำบาป แต่ผลกระทบที่ตามมาด้วยคือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าที่เปลี่ยนไป เห็นได้จากการที่เขาซ่อนตัวจากพระเจ้าในสวนเอเดน (ปฐมกาล 3:8) เมื่อใดที่เราขาดการเชื่อมต่อกับพระเจ้า เราก็ไร้ซึ่งความหวัง (เอเฟซัส 2:12) เป็นสภาพที่พระเจ้าเรียกว่าตายแล้ว พระเยซูได้มาเพื่อนำการเชื่อมต่อกลับสู่สภาพเดิม พระองค์กล่าวว่า เรามาเพื่อให้คนเหล่านั้นมีชีวิตและมีอย่างอุดมสมบูรณ์” (ยอห์น 10:10) ถ้าพระเยซูมาเพื่อให้ชีวิตใหม่กับเรา แสดงว่าชีวิตที่เรามีก่อนหน้าจะได้รับชีวิตใหม่นั้นคงต้องใช้การไม่ได้เป็นแน่

 

เปาโล อัครทูตของพระคริสต์เขียนเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ในจดหมายถึงคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส ท่านตายแล้วเพราะการล่วงละเมิดและการกระทำบาปทั้งปวง” (เอเฟซัส 2:1, 5) เมื่อเรามาหาพระเยซู สำนึกผิด และรับพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา เราก็ได้เกิดใหม่แล้ว ส่วนคนที่ต้อนรับและเชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ให้ได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:12) เหมือนดังว่าชีวิตใหม่ได้ถูกฉีดเข้าเส้นเลือดฝ่ายวิญญาณของเราผู้เป็นคริสเตียนแล้ว ม่านที่เคยบังตาหัวใจเราจากความจริงได้ถูกฉีกขาด และความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าก็ได้กลับคืนสู่สภาพดี  ความบาปที่ครั้งหนึ่งกีดกันเราจากพระเจ้าได้ถูกทำลายลงเมื่อเราวางใจและเชื่อในพระเยซู

 

คำถามที่ 3) พระเยซูหมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่าเราต้อง “เกิดจากน้ำ” (ยอห์น 3:5)?

 

มีการตีความ 4 แบบด้วยกันที่เป็นไปได้

 

  1. น้ำพูดถึงการเกิดใหม่ทางกาย ในช่วงเก้าเดือนแรกของเราทุกคน เราอาศัยอยู่ในถุงน้ำคร่ำในท้องแม่ กลุ่มที่มีความเข้าใจเช่นนี้เชื่อว่าพระเยซูกำลังบอกว่าเราจำเป็นต้องเกิดทั้งทางกายและทางฝ่ายวิญญาณด้วย นี่เป็นการตีความที่ตรงตัวมาก ซึ่งมีนักวิชาการไม่มากเชื่อเช่นนี้

 

  1.  แบบที่สองมองว่าน้ำเป็นสัญลักษณ์แทนพระคำของพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกเราว่าพระคริสต์ชำระคริสตจักร เพื่อทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระด้วยน้ำผ่านทางพระวจนะ” (เอเฟซัส 5:26) อีกตอนหนึ่งพระเยซูกล่าวว่า ท่านทั้งหลายสะอาดแล้วเพราะถ้อยคำที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน” (ยอห์น 15:3) ด้วยการตีความนี้พระเยซูกำลังบอกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าใช้พระคำพระเจ้าเป็นเครื่องมือช่วยให้เราเห็นถึงและสำนึกบาปของเรา นอกจากนี้ยังช่วยอธิบายว่าพระเจ้าได้ทำอะไรเพื่อชำระเราจากความบาปทั้งสิ้น  จากความเข้าใจนี้เราเห็นว่าน้ำแสดงถึงอำนาจการชำระบาปของพระคำพระเจ้า ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์ โดยการทำตามพระคำของพระเจ้า (สดุดี 119:9)

 

  1. การตีความอีกแบบคือเปรียบน้ำเหมือนการชำระและการทำให้เกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อเรามาเชื่อในพระคริสต์ แต่เมื่อพระกรุณาและความรักของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราปรากฏ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ทิตัส 3:4-5)

 

  1. การตีความแบบที่สี่เชื่อว่าน้ำบ่งบอกถึงการกลับใจใหม่ หลายคนเชื่อว่าพระเยซูกำลังพูดถึงการรับบัพติศมา แต่การรับบัพติศมาก็คือการแสดงออกของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นสำคัญที่สุด ในวันที่นิโคเดมัสพบพระเยซู ยอห์นผู้ให้บัพติศมายังคงเทศนาเรื่องบัพติศมาอันแสดงถึงการกลับใจใหม่อยู่เลย (มาระโก 1:4, กิจการ 19:4) ในเวลานั้นการถูกจุ่มตัวในน้ำเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าตนได้กลับใจใหม่แล้ว (การกลับใจใหม่คือการเปลี่ยนความคิดของตนเอง) ได้ตายต่อวิถีชีวิตของตนในอดีต และตอนนี้กำลังรอการทรงสถิตด้วยพระวิญญาณบริสทุธิ์และการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ทุกวันนี้การกลับใจใหม่ไม่ใช่คำซึ่งเป็นที่นิยมมากนักแล้ว บางคนสอนว่าเราเพียงแค่ต้องเชื่อในพระคริสต์ แต่พระเยซูบอกเราว่า เว้นแต่เราจะกลับใจใหม่และเชื่อ เราจะพินาศแน่นอน (ลูกา 13:3-5) ไม่นานนี้ผมทำการสำรวจพระคัมภีร์โดยใช้ biblegateway.com และพบว่า “กลับใจใหม่” (repent) อยู่ในพระคัมภีร์ถึง 75 ครั้งด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก และไม่ควรถูกมองข้ามหรือดูผ่านๆ

 

ผมเชื่อว่าทั้งสี่การตีความนั้นต่างมีเหตุและผลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ ฉะนั้นผมคิดว่าเราไม่ควรยึดการตีความอันใดอันหนึ่งหัวปักหัวปำ มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เราจะค้นพบความจริงผ่านพระคำของพระเจ้าในหลากหลายระดับเมื่อเราใคร่ครวญข้อความอย่างนี้ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องสำรวจจิตใจของเรา และพิจารณาดูว่าเราได้กลับใจใหม่จากบาปดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้หรือไม่ คุณเคยขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชำระคุณและสร้างคุณขึ้นใหม่หรือยัง? แล้วลึกๆนั้นคุณอยากเป็นอิสระจากนิสัยที่บ่อนทำลายตัวตนและจิตวิญญาณของคุณ รวมทั้งสร้างความเจ็บปวดให้กับคนรอบข้างและตัวคุณเองหรือไม่? ถ้าเรากลับใจใหม่จริงๆจากความบาปทุกอย่าง พระวิญญาณของพระเจ้าจะสำแดงให้เราเห็นเองถึงสิ่งที่เราควรปล่อยทิ้งไป และสิ่งที่เราต้องเลิกทำหรือเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่แค่นั้น! พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงแต่จะเปิดเผยความจริงให้กับเรา พระองค์จะนำเราเข้าสู่ความจริงด้วย พระเจ้าไม่ได้มอบเพียงแผนที่สู่การเป็นขึ้นใหม่ให้เราเท่านั้น แต่ได้ให้ยานพาหนะที่จะพาเราไปยังจุดหมายปลายทางด้วย สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือการเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้าผู้ถ่ายทอดชีวิตใหม่ให้กับเราผ่านพระคำและพระวิญญาณของพระองค์ ไม่ใช่โดยความชอบธรรมที่เกิดจากการกระทำของเราเอง ในพระคัมภีร์ตอนนี้เราเห็นชายคนหนึ่งตระหนักถึงความสิ้นหวังของตัวเองและความจำเป็นที่จะต้องเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ

 

คำถามที่ 4) เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้เกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณแล้ว? คุณคิดอย่างไร? มันควรมีหลักฐานอะไรที่เห็นได้ในชีวิตเราซึ่งบ่งบอกว่าเราได้รับความรอดและได้เกิดใหม่แล้ว (หรือเกิดจากเบื้องบนแล้ว)?

 

หลายปีที่แล้วมีหญิงสาวคนหนึ่งมาปรึกษาเหล่าอาจารย์ของโบสถ์หนึ่งถึงความต้องการอยากมีส่วนร่วมในโบสถ์นั้น คำถามแรกที่เธอถูกถามคือ “คุณได้ตระหนักแล้วหรือยังว่าคุณเคยเป็นคนบาป?” “ค่ะ” เธอตอบอย่างไม่ลังเล คำถามที่สองที่เธอถูกถามคือ “คุณคิดว่าคุณได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้วหรือไม่” “ได้ค่ะ ดิฉันมั่นใจ” เธอตอบโดยทันที คำถามสุดท้ายตามมาว่า “แล้วคุณคิดว่าคุณเปลี่ยนไปอย่างไร?” “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ ก่อนดิฉันมาเป็นคริสเตียน ดิฉันวิ่งเข้าหาบาป ตอนนี้ดิฉันวิ่งหนีมัน” สิ่งนี้เองคือหลักฐานของตัวตนที่เปลี่ยนไปเพราะได้ผ่านการเกิดใหม่แล้ว มันคือทั้งทัศนคติและทิศทางที่เปลี่ยนไป

 

เรามาดูกันว่าหลักฐานของผู้ที่เกิดใหม่แล้วนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ก่อนอื่นเราต้องจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราเองจะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่มันคือผลของการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่เนื้อหนังของเรา

 

  1. คุณเชื่อในข่าวประเสริฐจริงๆหรือไม่? เราไม่ได้พูดถึงความเข้าใจและการยอมรับความจริงของข่าวประเสริฐทางความคิด แต่การเชื่อด้วยใจที่ผลักดันให้เราใช้ชีวิตประจำวันด้วยค่านิยมซึ่งมาจากเบื้องบน เพราะท้ายที่สุดแล้วชีวิตคุณจะเป็นตัวบ่งบอกเองว่าคุณเชื่อจริงหรือไม่ พระเยซูกล่าวว่า ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่นและพุ่มหนามจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ?” (มัทธิว 7:16) หลักฐานอันแสดงถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตคุณนั้นควรเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ (กาลาเทีย 5:16-25)

 

  1. คุณมีหัวใจที่รู้สึกรักและขอบคุณพระเยซูที่ได้ตายบนไม้กางเขนเพื่อคุณหรือไม่?

 

  1. คุณมีความหิวกระหายอยากรู้จักพระคำของพระเจ้าหรือไม่? “แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ ความรักของพระเจ้า[b] ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น ด้วยวิธีนี้เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์คือ (1 ยอห์น 2:5)

 

  1. ภายในใจคุณรอคอยการกลับมาอีกครั้งของพระเยซูหรือไม่? “เพื่อนที่รัก บัดนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไรเรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ย่อมชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์(1 ยอห์น 3:2-3)

 

  1. คุณโกรธและผิดหวังกับตัวเองหรือไม่เวลาคุณทำบาป? ถ้าคุณได้เชิญพระเยซูมานั่งบนบัลลังก์ในชีวิตคุณและมอบชีวิตคุณให้พระองค์แล้ว พระวิญญาณจะช่วยทำให้คุณสำนึกบาปผิดที่ทำไป

 

  1. คุณรักผู้อื่นที่รักพระเจ้าด้วยเหมือนกันหรือไม่? คุณมีสันติสุขเมื่อใช้เวลากับคริสเตียนคนอื่นหรือไม่? “เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตเพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รักผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย” (1 ยอห์น 3:14)

 

  1. คุณสามารถรับรู้ได้หรือไม่ถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำงานอยู่ในชีวิตคุณ? ถ้าใช่ สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันถึงชีวิตใหม่ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในคุณ เรารู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา” (1 ยอห์น 4:13)

 

ความไม่พอใจฝ่ายวิญญาณของผม

 

ผมมาเจอพระคริสต์ได้หลังจากใช้เวลาออกตามหาพระองค์กว่าห้าปี ข้ามน้ำข้ามทะเลห้าทวีป และไม่รู้อีกกว่ากี่ประเทศ ผมต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายกว่าผมจะตระหนักว่าความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ตอนนั้นผมรู้สึกได้เลยว่าผมหลุดออกมาจากร่างของตัวเองและมองเห็นตัวเองจากเพดาน ขณะที่ผมล่องลอยอยู่ระหว่างความตายและชีวิตนั้น ผมร้องหาพระเจ้าที่ผมไม่รู้จัก ผมเข้าใจมาตลอดว่าเมื่อตายแล้วทุกอย่างจบสิ้น ผมพูดกับพระเจ้าที่ผมไม่รู้จักในวันนั้นว่า  “ผมจะมอบทั้งชีวิตให้พระองค์เลย จะทำทุกอย่างที่พระองค์อยากให้ผมทำ ถ้าพระองค์ช่วยให้ผมมีชีวิตต่อวันนี้” พระองค์ได้ยินคำอธิษฐานของผม และผมก็รู้สึกตัวเองกลับเข้าร่างเหมือนเดิม จากนั้นมาผมรู้สึกเหมือนมีใครสักคนที่ผมมองไม่เห็นคอยนำทางผม ในเวลานั้นผมไม่มีความเข้าใจแม้สักนิดว่าพระเจ้าคือใคร ไม่มีใครเคยบอกข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้ผมฟัง ผมเลยลองศึกษาศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธดู แต่ศาสนาเหล่านั้นก็ไม่สามารถตอบสนองความกระหายหาพระเจ้าภายในใจผม จึงทำให้ผมลองศึกษาวิชาปรัชญาต่อ รวมถึงวิชาอื่นๆที่ค่อนไปทางลัทธิเพี้ยนๆทั้งหลาย

 

หลังจากที่พยายามค้นคว้าหาความจริงทั่วทุกหย่อมหญ้าแต่กลับไม่พบสิ่งที่ตามหา ผมก็บังเอิญได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เขียนโดย Hal Lindsey (ฮาล ลินด์ซีย์) เกี่ยวกับคำพยากรณ์ที่สำเร็จแล้วในยุคของพวกเรา หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า The Late Great Planet Earth (โลกอันยิ่งใหญ่ที่ล่วงลับไป) มันคือหนังสือที่เปิดตาผมให้เห็นถึงความจริงว่าพระเจ้าเคลื่อนไหวและทำกิจการของพระองค์บนโลกนี้อยู่เสมอ ไม่ได้ทิ้งเราให้เอาตัวรอดเองโดยลำพัง ผมเรียนรู้เกี่ยวกับความรักของพระองค์ที่มีให้ผม และไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจขึ้นเครื่องบิน มุ่งหน้าไปดินแดนฝั่งตะวันตก อเมริกา เพื่อเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการกลับมาอีกครั้งของพระคริสต์ บนเครื่องบินพระเจ้าจัดเตรียมให้ผมได้นั่งข้างคริสเตียนคนหนึ่ง เขาชวนผมนั่งรถกับเขาต่อไปยังค่ายฤดูร้อนคริสเตียนค่ายหนึ่งในรัฐเวอร์จิเนีย เพื่อศึกษาเกี่ยวกับคำพยากรณ์ต่างๆในพระคัมภีร์ แต่แล้วเราก็ต้องพรากกันอย่างไม่ได้คาดหมายระหว่างที่โดนตรวจคนเข้าเมือง ผมถูกกักตัวอยู่พักหนึ่งโดยเจ้าหน้าที่สนามบินเมื่อเห็นว่าในหนังสือเดินทางนั้นผมเข้ามาหลายประเทศเกินปกติ พอถูกปล่อยตัวแล้วผมก็ขึ้นรถบัสมายังเมืองริชมอนด์ เวอร์จิเนีย มั่นใจว่าพระเจ้าผู้กำลังตามหาผมอยู่ได้นำผมมาที่นี่

 

สองวันให้หลัง ผมได้ทำการซื้อตั๋วรถบัสไปยังสถานที่ตั้งของค่ายฤดูร้อนนั้นและกำลังรอขึ้นรถอยู่ที่สถานี ปรากฏว่าชาวอเมริกันคนเดียวที่ผมรู้จัก คุณวิซ คนเดียวกันที่นั่งข้างผมบนเครื่องบินก็กำลังต่อแถวขึ้นรถบัสคันเดียวกันอยู่เช่นกัน เขาเลือกวันนั้นเวลานั้นที่จะทิ้งรถเช่าของเขาไว้ที่เมืองใกล้เคียง เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม และเลือกรถบัสคันเดียวกับผม เขาพาผมมาถึงค่ายจนได้ ที่ซึ่งผมได้ยินเกี่ยวกับข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรก  ณ ค่ายฤดูร้อนนั้น ห่างไกลจากทุกสิ่งทุกอย่าง ผมต้อนรับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตและสัมผัสพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างแรงกล้า

 

ผมรู้สึกเหมือนภูเขาถูกยกออกจากอกเมื่อผมต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตและเกิดใหม่อีกครั้ง ช่วงสามสี่วันแรกผมแทบจะน้ำตาแตกทุกครั้งที่ใครก็ตามแค่เอ่ยชื่อพระเยซู ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามีผู้หนึ่งรักผมอย่างที่ผมเป็น แค่คนบาปคนหนึ่งที่บอบช้ำและเหนื่อยล้า ที่อยากให้ใครสักคนมารักเขา สำหรับผมมันคือประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย ผมรู้ว่าผมได้เปลี่ยนไปแล้ว ผมมีความสุขเหลือเกิน ผมรู้สึกถูกรักโดยพระเจ้าและสามารถรับความรักจากคนอื่นได้ด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เคยทำได้มาก่อน พร้อมกันนั้นผมรู้สึกถึงความกระตือรือร้นอยากรู้จักพระคำของพระเจ้าท่วมท้นอยู่ในหัวใจของผม รวมถึงความรักที่ผมมีให้กับเพื่อนๆคริสเตียน และความปรารถนาอยากช่วยผู้ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ให้รู้ว่าเขาเองถูกรักโดยพระเจ้าแค่ไหน จิตวิญญาณของผมพองโตด้วยสันติสุข

 

ทุกคนล้วนมีเส้นทางที่พิเศษของตัวเอง ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึงเพราะผมจนตรอกจริงๆ ผมใช้ชีวิตห่างไกลจากพระเจ้ามาก มันไม่สำคัญเท่าไหร่ว่าอะไรนำเราไปถึงจุดที่เราตัดสินใจออกตามหาความจริง เราต่างต้องมาถึงทางแยกในชีวิต ถึงจุดที่เราสำรวจชีวิตของตัวเองและถามว่าเราอยู่ไหนแล้ว เราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และความหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร คุณอาจเคยคิดว่า “ชีวิตมีแค่นี้เหรอ?” “ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” ถ้าคุณกำลังคิดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ แปลว่าคุณได้มาถึงทางแยกนั้นแล้ว พระเยซูรอคุณอยู่ที่นั้น วิ่งเข้าหาพระองค์

 

นิโคเดมัสตัดสินใจเชื่อในพระเยซูหลังเขาได้พบกับพระองค์ สองปีถัดมาเราเห็นเขากับโยเซฟจากอาริมาเธียที่อุโมงค์ฝังศพพระเยซู นิโคเดมัสผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมาเข้าเฝ้าพระเยซูในเวลากลางคืนก็มาร่วมด้วยพร้อมทั้งนำเครื่องหอม คือมดยอบผสมกับกฤษณาหนักประมาณ 34 กิโลกรัม[d]มา 40 ทั้งสองเชิญพระศพของพระเยซูลงมา แล้วเอาแถบผ้าลินินพันพระศพพร้อมกับเครื่องหอมตามธรรมเนียมการฝังศพของชาวยิว” (ยอห์น 19:39-40)

 

แล้วคุณล่ะ มีความมั่นใจหรือไม่ว่าคุณมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานถึงการเกิดใหม่ของคุณ ว่าคุณนั้นเป็นลูกของพระเจ้า? เป็นไปได้ไหมว่าคุณเอง เหมือนนิโคเดมัส รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในชีวิตของคุณ? การจะเกิดใหม่โดยพระวิญญาณของพระเจ้าและก่อนคุณจะได้รับสันติสุขจากพระองค์นั้น คุณต้องสำนึกบาปผิดที่เคยได้ทำและเชิญพระคริสต์เข้ามาในชีวิต มาประทับบนบัลลังก์ในใจคุณจากนี้เป็นต้นไป ต่อไปนี้คือคำอธิษฐานที่คุณสามารถกล่าวตามได้:

 

คำอธิษฐาน: ข้าแต่พระบิดา ลูกมาหาพระองค์ในเวลานี้ เชื่อว่าพระองค์รักลูกและมีแผนการสำหรับชีวิตของลูก ลูกขอบคุณที่พระองค์รักลูกมากจึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมายังโลกเพื่อรับโทษความบาปแทนลูก ความบาปที่ตลอดชีวิตลูกได้กีดกันไม่ให้ลูกพบสันติสุขที่มาจากพระองค์ ลูกสำนึกบาปผิดที่ได้ทำและลูกหันหลังให้กับทางแห่งความบาป ลูกขอเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในใจของลูก ลูกขอมอบชีวิตนี้ให้กับพระองค์ ขอบคุณพระบิดาสำหรับของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์นี้ เอเมน

 

คีธ โธมัส (Keith Thomas)

 

อีเมล: keiththomas@groupbiblestudy.com

 

เว็บไซต์: www.groupbiblestudy.com

bottom of page