10. The Burial Resurrection of Christ
สำหรับการศึกษาเพิ่มเติมในชุดนี้ คลิกที่นี่
10. การฝังและเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์
พระกิตติคุณตามที่ยอห์นเขียน
เกิดอะไรขึ้นเมื่อพระเยซูตาย?
เรากำลังศึกษาเรื่องการทนทุกข์และการตายของพระคริสต์ต่อจากครั้งที่แล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้นที่ไม้กางเขนนั้น ความมืดปกคลุมลงมาทั่วแผ่นดินในเวลาเที่ยงวัน (มธ. 27:45) ความมืดนี้ไม่ใช่มืดสนิทแบบที่เคยเกิดกับอียิปต์ช่วงก่อนที่พระเจ้าจะนำชาวอิสราเอลออกมา (อพย. 10:21) คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ที่นั่นยังคงมองเห็นเหตุการณ์อันน่าทึ่งขณะที่มันปรากฏขึ้นได้ บรรพบุรุษคริสตจักรยุคแรกบางคนบันทึกถึงเรื่องความมืดนี้ไว้ว่า มันไม่เพียงปกคลุมทั่วแผ่นดินอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังปกคลุมไปทั่วทั้งโลก เทอทูลเลียน ผู้เป็นทั้งบิดาและนักเขียนแห่งคริสตจักรยุคแรกพูดถึงเหตุการณ์นี้ไว้ในหนังสือของเขาเรื่อง Apologeticum (การปกป้องความเชื่อ) งานเขียนของคริสเตียนเพื่อแก้ต่างกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าในยุคจักรวรรดิโรมสมัยนั้นว่า “ในเสี้ยวนาทีที่พระคริสต์ตาย แสงสว่างแยกออกจากดวงอาทิตย์ และแผ่นดินก็มืดมิดไปในเวลาเที่ยงวัน เป็นความมหัศจรรย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับบันทึกประวัติศาสตร์ของเรา และยังคงเก็บรักษาไว้ในจดหมายเหตุของเรามาจนทุกวันนี้” 1
ผมมั่นใจว่า บางคนเฝ้ามองการตรึงกางเขนด้วยใจที่หวังว่า ความตายนั้นจะไม่เกิดขึ้น พวกเขาคิดว่า เอลียาห์จะมาปรากฏ (มธ. 27:46) และพระเยซูจะลงมาจากไม้กางเขนได้อย่างอัศจรรย์ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และสยบพวกปากหอยปากปูและศัตรูของพระองค์ให้อึ้งไป แต่ในเสี้ยวนาทีนั้น พวกเขาไม่เข้าใจว่า การตายของพระองค์นั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้น คนของพระเจ้าจะได้รับชีวิตใหม่ได้ก็ต่อเมื่อพระเยซูตายแทนพวกเขาแล้วเท่านั้น ความรักและความยุติธรรมของพระเจ้าเรียกร้องให้มีการชดใช้บาป ดังนั้น พระเยซูจึงต้องตายในฐานะผู้แบกบาปแทนเรา
31วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอปีลาตให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักและยกศพออกไป เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่) 32ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ 33แต่เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่า พระองค์ สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์ 34แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ 36เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริง
___________________________
[1] As quoted by John MacArthur, The Murder of Jesus. Nelson Publishers, p. 228.
ตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว” 37และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง
ว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง” (ยน. 19:31-37)
หลังจากพระคริสต์ตายไปในเวลาบ่ายสามโมง วันสะบาโตพิเศษช่วงเทศกาลปัสกาก็ใกล้เข้ามา (วันใหม่เริ่มขึ้นเมื่อตะวันตกดิน) ดังนั้น พวกทหารโรมันจึงใช้ไม้ตะลุมพุกหนักๆหักขาของโจรสองคนที่ถูกตรึงกางเขน การหักขาจะทำให้ตายเร็วขึ้น เพราะโจรทั้งสองจะยันแผ่นไม้ใต้เท้าขึ้นมาหายใจไม่ได้อีกต่อไป ความตายก็จะมาเยือนในไม่ช้า เพราะขาดอากาศหายใจ แต่เมื่อพวกทหารมาถึงพระเยซู พระองค์ตายไปแล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องหักขาพระองค์ หลายร้อยปีก่อนหน้ามีผู้พยากรณ์ได้พูดถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ล่วงหน้าว่า “คนชอบ-
ธรรมนั้นถูกข่มใจหลายอย่าง แต่พระเจ้าทรงช่วยกู้เขาออกมาให้พ้นหมด พระองค์ทรงรักษากระดูกเขาไว้ทั้งหมด ไม่หักสักซี่เดียว” (สดด. 34:19-20) พระคัมภีร์ยังสั่งไว้ว่า ขณะที่ชาวยิวรับประทานลูกแกะปัสกานั้นไม่ให้หักกระดูก “ห้ามหักกระดูกของมัน” (อพย. 12:46) ตลอดหลายร้อยปีที่คนยิวรับประทานลูกแกะในคืนวันปัสกา โดยไม่เคยคิดเลยว่า มันเล็งถึงลูกแกะที่เป็นสัญลักษณ์นี้ พระองค์ผู้มาทำให้คำพยากรณ์ที่เขียนไว้สำเร็จเป็นจริงทุกตัวอักษร จำนวนประชากรในกรุงเยรูซาเล็มช่วงเทศกาลปัสกาจะเพิ่มขึ้นถึงอย่างน้อยสองล้านคน อย่างน้อยที่สุดจะมีบ้านละสิบคนที่ต้องรับประทานปัสกา พระเจ้าสั่งว่า ให้รับประทานลูกแกะให้หมด (อพย. 12:10) “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือ คนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า” (ยน. 1:12)
ด้วยความที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ พระเจ้าจึงรู้ว่าบางคนจะพูดว่า พระเยซูไม่ได้ตายจริงๆ แค่เป็นลมไปบนไม้กางเขนเท่านั้น เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกช่างสงสัยเหล่านั้นคิดผิด พระบิดาจึงอนุญาตให้ทหารโรมันเอาหอกแทงสีข้างของพระเยซู ยอห์นเป็นพยานยืนยันว่า มีเลือดและน้ำไหลออกจากสีข้างของพระองค์จริง (ยน. 19:34) นี่ถือเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่พิสูจน์กันในศาลได้ว่า พระเยซูตายจริง มีสาเหตุหลักๆสองประการที่ทำให้เสียชีวิตจากการตรึงกางเขนได้ คือ ภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดหรือสารน้ำในร่างกาย และหมดแรงจากภาวะขาดอากาศหายใจ
ภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดหรือสารน้ำในร่างกาย เป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึงปริมาณเลือดในร่างกายต่ำ การเฆี่ยนและโบยตีพระเยซูอย่างโหดร้ายทารุณเป็นเหตุให้พระองค์เสียเลือดมาก จนไม่มีแรงแบกกางเขนได้ ด้วยภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดหรือสารน้ำในร่างกาย นักโทษจึงหมดสติได้เนื่องจากความดันโลหิตต่ำ ไตวาย และเพื่อรักษาของเหลวในร่างกายไว้จึงทำให้กระหายน้ำมาก น้ำจะเริ่มคั่งบริเวณรอบๆเยื่อหุ้มหัวใจและถุงรอบหัวใจ ก่อนตาย หัวใจจะเต้นเร็วเพราะเลือดน้อย เป็นเหตุให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดและช่องเยื่อหุ้มหัวใจ คำพยานของยอห์นที่บอกมีน้ำและเลือดออกมาจากบาดแผลที่ถูกหอกแทงตรงสีข้างของพระ-คริสต์นั้นบ่งบอกว่า ตายแล้วจริง เพราะมีการแยกตัวของเลือดและน้ำ พระเจ้าได้สร้างภรรยามาจากสีข้างของอาดัมคนแรกฉันใด (ปฐก. 2:22) เจ้าสาวของพระคริสต์ก็มาจากสีข้างของพระเยซู อาดัมคนสุดท้ายฉันนั้น
เหตุการณ์เหนือธรรมชาติในการตายของพระเยซู
50และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ 51และนี่แน่ะ ม่านในพระวิหารก็ฉีก
ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน 52อุโมงค์ฝังศพ
ต่างๆ ก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา 53และเมื่อพระเยซูทรง
เป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏกับคนจำนวนมาก 54แต่
นายร้อย และพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็
กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” (มธ. 27:50-54)
อะไรทำให้การตรึงกางเขนครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆสำหรับพวกทหารจนถึงขนาดที่ “พวกเขาหวาดกลัว?” (มธ. 27:54) ลองมาอภิปรายกันถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นและประสบขณะเฝ้ามองเหตุการณ์นั้น
ความมืดมิดช่วงเที่ยงวันนั้นกินเวลานานสามชั่วโมงเป็นลางสังหรณ์ว่า จะมีบางสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น เราทุกคนเข้าใจดีว่า แผ่นดินไหวคืออะไร แต่มัทธิวกล่าวชัดเจนมากว่า ศิลาแยกออกจากกัน (ข้อ 51) เรื่องนี้คงต้องทำให้บรรดาผู้ที่เห็นเหตุการณ์การตายของพระเยซูอกสั่นขวัญแขวนเป็นแน่ คุณคิดว่า ทำไม มัทธิวจึงพูดเรื่องศิลาแยกนี้ขึ้นมา?
กรุงเยรูซาเล็มสร้างขึ้นบนภูมิประเทศที่เป็นหินและมีดินฝังศพน้อยมาก อุโมงค์ฝังศพส่วนใหญ่จึงสกัดมาจากหน้าหินรอบๆ หรือสร้างขึ้นจากพื้นดิน และปิดหน้าด้วยแผ่นหิน หรือหินก้อนใหญ่ๆ เป็นไปได้ไหมว่า หินเหล่านี้คือ หินซึ่งแยกออกจากกันตามที่ยอห์นพูดถึง ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็เห็นว่า อุโมงค์ฝังศพที่ถูกเคยปิดตายได้แตกออก และคนของพระเจ้าทั้งชายและหญิงพากันฟื้นขึ้นมาเดินทั่วบริเวณนั้น! เราไม่รู้ว่า คนเหล่านี้เป็นใครกันบ้าง รู้เพียงว่า พวกเขาเป็นชายหญิงผู้บริสุทธิ์ที่ตายและถูกฝังไปแล้ว ผมคงต้องรอไปถามคำถามทั้งหมดที่ผมสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เมื่อไปถึงสวรรค์!
ทำไมพวกเขาจึงต้องรอจนพระเยซูฟื้นขึ้นจากความตายก่อนจึงจะเดินผ่านประตูเมืองเยรูซาเล็มเข้าไป? การปรากฏตัวของพวกเขาสำคัญต่อผู้คนมากมายอย่างไร?
อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า “แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป” (1 คร. 15:20) พระเยซูเป็นผลแรกท่ามกลางบรรดาผู้ที่ “ล่วงหลับไป” แล้ว
เกิดอะไรขึ้นในพระวิหารตอนพระคริสต์ตาย?
มัทธิว เขียนไว้ว่า เมื่อพระเยซูมอบจิตวิญญาณของพระองค์ให้พระเจ้าแล้ว ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในพระวิหาร ก่อนอื่นเราลองมาดูภาพในพระวิหารกันก่อน แล้วจึงค่อยมาดูความสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นกับผ้าม่าน
อาคารพระวิหารประกอบไปด้วยห้องสองห้องที่แยกออกจากกันโดยมีผ้าม่านขนาดใหญ่คั่นกลาง ห้องแรกเรียกว่า สุทธิสถาน ส่วนห้องชั้นในอีกห้องที่อยู่หลังม่านเรียกว่า อภิสุทธิสถาน ในห้องแรก (สุทธิสถาน) นี้ จะอนุญาตให้เหล่าปุโรหิตเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เติมขนมปังบนโต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ วางเครื่องหอมบูชาบนโต๊ะเครื่องบูชา และเติมน้ำมันมะกอกในคันประทีปเจ็ดกิ่ง สิ่งที่แยกเหล่าปุโรหิตออกจากที่ประทับของพระเจ้านั้น คือ ม่านขนาดยักษ์ กว้างสามสิบฟุต (ประมาณเก้าเมตร) หนาเท่าฝ่ามือผู้ชาย หลังม่านนั้นเป็นอภิสุทธิสถาน ที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนเมฆ ณ ห้องชั้นในอภิสุทธิสถานในพระวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนจะมีหีบหนึ่งที่เรียกว่า หีบพันธสัญญา ซึ่งทำด้วยไม้กระถินเทศ หุ้มทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านในและด้านนอกตั้งอยู่ หีบพันธ-สัญญานี้ใส่แผ่นศิลาจารึกบัญญัติสิบประประการไว้ และมีฝาหีบทองคำ เรียกว่า พระที่นั่งกรุณาปิดอยู่ แต่ละด้านของหีบนี้มีเครูบ (ทูตสวรรค์) ทองคำสองรูปกางปีกมองลงมายังพระที่นั่งเมตตา โดยปีกของเครูบทั้งสองจะจรดกับผนังแต่ละด้าน (1 พกษ. 6:23-28)
บนพระที่นั่งกรุณานี่เองที่พระเจ้าได้สำแดงการสถิตอยู่ด้วย (พระสิริแห่งการอยู่ด้วยของพระเจ้า) ให้เห็นเป็นก้อนเมฆ “เราจะพบกับเจ้า ณ ที่นั้น คือ ที่เหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งอยู่บนหีบแห่งสักขีพยาน” (อพย. 25:22) ในวันลบมลทินทุกปีๆละวัน ปุโรหิตหลวงจะถอดเสื้อคลุมชุดพิธีอันวิจิตรตระการตาออก แล้วสวมชุดผ้าลินินสีขาวเรียบๆแทน โดยมีเชือกผูกข้อเท้าซ้ายไว้ พร้อมกระดิ่งเล็กๆที่ชายเสื้อคลุม เขาจะเข้าไปในห้องอภิสุทธิสถานพร้อมกระทะถ่านติดไฟลุกโชนจากแท่นเครื่องเผาบูชา ทำให้บรรยากาศอบอวลด้วยเมฆควันและกลิ่นเครื่องหอม เขาจะใช้นิ้วประพรมเลือดวัวบนพระที่นั่งกรุณา และบนพื้นหน้าหีบพันธสัญญา กระดิ่งจะทำให้บรรดาปุโรหิตรู้ว่า มหาปุโรหิตยังมีชีวิตอยู่ ส่วนเชือกก็มีไว้ให้คนอื่นดึงเขาออกมาได้หากเขาเสียชีวิตลงและพระเจ้าไม่ยอมรับเลือดที่ถวายเป็นเครื่องบูชานั้น
ถ้าปุโรหิตหลวงออกมาได้ ก็แปลว่าเลือดที่ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปได้รับการยอมรับ พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะมาพบกับมนุษย์ที่นั่น เป็นการยอมรับเลือดที่ประพรมลงบนพระที่นั่งกรุณา ที่ซึ่งพระเจ้าประทานความเมตตาให้ ประชากรของพระเจ้าจะรออยู่ที่ลานชั้นนอกพระวิหาร เพื่อให้ปุโรหิตหลวงออกมาและประกาศคำเดียวว่า “ยกโทษให้แล้ว” เมื่อประชาชนได้ยินคำนี้ ก็จะพากันโล่งอกโล่งใจและชื่นชมยินดี และบาปของพวกเขาก็ได้รับการอภัยโทษอีกปีหนึ่ง
การหลั่งโลหิตเพื่อขอยกโทษบาปทุกๆปีซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจนี้เป็นส่วนสำคัญยิ่งในการนมัสการของชนชาติอิสราเอล พระเจ้ากำลังพยายามสอนและสำแดงอะไรแก่พวกเขาผ่านพิธีกรรมนี้?
มัทธิวบันทึกไว้ว่า ความตายของพระคริสต์ทำให้เกิดบางอย่างที่น่าตกใจมากขึ้นในพระวิหาร ม่านในพระวิหารขาดตั้งแต่บนสุดจรดล่างสุดซึ่งบ่งบอกว่า พระเจ้าเป็นผู้ฉีกม่านนั้นเอง ไม่ใช่มนุษย์ พระบิดากำลังสำแดงให้เห็นว่านับตั้งแต่ที่พระคริสต์ถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชานั้น ก็ได้เกิดการสถาปนา (การแนะนำอย่างเป็นทางการ) วิธีเข้าหาพระเจ้าแบบใหม่ขึ้นแล้ว ผู้ที่จะเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ มิใช่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นอีกต่อไป แต่ทุกๆคน ทั้งชายและหญิงต่างก็เข้ามาหาพระเจ้าได้ผ่านงานที่พระคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น จึงไม่น่าแปลกเลยที่หนังสือกิจการบันทึกไว้ว่า “พวกปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ” (กิจการ 6:7) เมื่อพวกปุโรหิตได้ยินว่า พระเยซูตายในเวลาเดียวกับที่ม่านขาด หลายคนตกใจอย่างมาก และตระหนักถึงความสำคัญชองเรื่องนี้ จึงมีคนมากมายหันมาเชื่อในพระเจ้า พระเจ้ากำลังทำให้คำพยากรณ์ในพันธสัญญาใหม่ที่พูดผ่านผู้พยากรณ์สำเร็จเป็นจริง (ยรม. 31:31-34)
การฝังศพพระเยซู
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ พระเจ้าก็เร้าใจเศรษฐีคนหนึ่งให้ฝังศพพระเยซูอย่างสมเกียรติ
38หลังจากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของพระเยซูเนื่องจากกลัวพวกยิว ก็มาขอพระศพ
พระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็อนุญาต โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพของพระองค์ไป 39นิโคเดมัสคนที่
ตอนแรกเคยไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้นก็มา เขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนัก
ประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย 40เขาทั้งสองอัญเชิญพระศพพระเยซูมา แล้วเอาผ้าป่านกับเครื่องหอม
พันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว 41ในบริเวณที่พระองค์ถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวน
นั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพใครเลย 42เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและเพราะ
อุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น (ยน. 19:38-42)
บรรดาพวกผู้นำและผู้ปกครองชาวยิวต้องการทำตามบัญญัติในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 21:23 ที่ว่า ห้ามปล่อยศพแขวนค้างอยู่บนกางเขนช่วงกลางคืน พวกเขาจึงไปหาปีลาตและเรียกร้องว่า ควรเร่งให้ทั้งสามคนตายก่อนถึงช่วงเย็น ซึ่งจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลปัสกา (ยน. 19:31) พวกผู้นำพากันกระตือรือร้นรักษาบัญญัติหยุมหยิมทั้งหลาย ทั้งๆที่เพิ่งจะก่ออาชญากรรมอันร้ายกาจที่สุดของมนุษยชาติทั้งมวล นั่นคือ การปฏิเสธและฆ่าบุตรของพระเจ้า ไม่มีบาปใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการปฏิเสธพระเมสสิยาห์อีกแล้ว
ผู้เชื่อลับๆสองคน คือ โยเซฟแห่งอาริมาเธีย และนิโคเดมัส สมาชิกสภาสูงแห่งแซนฮีดรินจึงเผยตัวออกมา และพยายามหาทางถวายเกียรติพระเยซูในการตาย แม้พวกเขาจะไม่กล้าเปิดเผยความเชื่อที่มีต่อพระเยซูช่วงที่พระองค์รับใช้อยู่ แต่ทั้งสองก็ได้อ้อนวอนขอศพพระเยซูจากปีลาตเพื่อไปฝัง ทั้งยังได้ซื้อเครื่องหอมผสมมดยอบกับกฤษณาและ/หรือว่านหางจระเข้สำหรับฝังศพ น้ำหนักเจ็ดสิบห้าปอนด์ในราคาแสนแพงมาชโลมศพตามธรรมเนียมฝังศพของชาวยิว
มดยอบเป็นยางไม้เหนียวๆ มีกลิ่นหอมที่คนอียิปต์ใช้ดองศพ คนยิวใช้แบบผง แต่ผสมกับกฤษณา ซึ่งก็คือไม้จันทน์หอม เมื่อเอาเครื่องหอมทั้งสองนี้ผสมกัน มันจะแข็งตัวเป็นรูปรังไหมหุ้มศพ
คุณคิดว่า เพราะเหตุใดสาวกทั้งสองจึงค่อนข้างเปิดเผยถึงความเชื่อของตนหลังจากพระเยซูตายแล้ว?
บางทีอาจเป็นเพราะความรักที่พวกเขามีต่อพระคริสต์ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องยืนหยัดในสิ่งที่ตนเชื่อ ผมแน่ใจว่า พวกเขาคงเห็นว่า ศพพระเยซูจำเป็นต้องถูกฝังอย่างสมเกียรติ แทนที่จะถูกปล่อยให้นำไปทิ้งที่กองขยะของเมืองตามที่พวกผู้นำศาสนากำหนดไว้ก่อนวันสะบาโต ซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีกสามชั่วโมงนับจากเวลาที่พระองค์เสียชีวิต ยอห์นเป็นสาวกคนเดียวที่เล่าถึงเรื่องที่นิโคเดมัสให้ความช่วยเหลือแก่โยเซฟ ชาวอาริมาเธียในการฝังศพพระเยซู ก่อนหน้านี้ทั้งสองต่างเป็นผู้เชื่อลับๆ จึงอาจรู้สึกสะเทือนใจและอยากชดเชยให้พระองค์ตอนตาย ฐานที่เพิกเฉยละเลย หรือไม่กล้าช่วยเหลือพระองค์ตอนที่ยังเป็นอยู่
ปริมาณเครื่องหอมที่ใช้ต้องถือว่ามากมายเหลือเฟือ มากพอสำหรับฝังศพกษัตริย์ได้เลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งเมื่อเราคิดถึงว่า พระเยซูเป็นจอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง เครื่องหอมที่นิโคเดมัสนำมานั้นเป็นน้ำมันหอมที่ทำมาจากมดยอบและกฤษณา หนักราวเจ็ดสิบห้าปอนด์ (เกือบเก้าแกลลอน) มันคงต้องแพงมหาศาลทีเดียว โดยรวมๆ เรารู้ว่า พระเจ้าพระบิดาดูแลในทุกๆรายละเอียดเกี่ยวกับการตายและการฝังศพบุตรของพระองค์ แม้กระทั่งการฝังศพพระเยซูก็เป็นจริงตามคำพยากรณ์ เพราะพวกผู้นำได้วางแผนหรือกำหนดให้ฝังศพธรรมดาๆไปพร้อมๆกับพวกโจร แต่พระเจ้าได้จัดเตรียมอุโมงค์ฝังศพของเศรษฐีไว้ให้บุตรของพระองค์
เขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนอธรรม และเขาจัดท่านไว้กับเศรษฐีในความตายของท่าน แม้ว่า
ท่านไม่ได้ทำการทารุณใดๆ และไม่มีการหลอกลวงใดๆ ในปากของท่าน (อสย. 53:9)
มีผู้หญิงหลายคนติดตามชายทั้งสองนี้มาซึ่งเป็นพวกที่เคยเดินทางลงไปจากแคว้นกาลิลีกับพระเยซูและเหล่าสาวก (ลก. 23:55) ผู้หญิงเหล่านั้นจึงเห็นว่า อุโมงค์ฝังศพอยู่ที่ไหนเพื่อจะเอาเครื่องเทศกับน้ำมันหอมไปเติมได้หลังจากวันสะบาโต ในหนังสือของเมอร์ริล เทนนีย์ ชื่อ The Reality of the Resurrection (ความเป็นจริงของการเป็นขึ้นใหม่) เขาเล่าถึงขั้นตอนการฝังศพตามธรรมเนียมยิวไว้ดังนี้
ปกติแล้วจะอาบน้ำศพ ยืดตัวให้ตรง แล้วใช้แถบผ้าลินินกว้างประมาณหนึ่งฟุตพันศพให้แน่นตั้งแต่ใต้รักแร้จนถึงข้อเท้า แล้วเอาเครื่องหอมซึ่งส่วนมากจะเป็นยางเหนียวๆไปทาระหว่างห่อหุ้มศพหรือตามซอกต่างๆ น้ำยางพวกนี้เป็นเหมือนซีเมนต์ที่ช่วยให้ผ้าหุ้มศพติดกันเป็นรูปทรงแข็งๆ เมื่อศพถูกหุ้มมิดชิดแล้ว จะเอาผ้าสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งพันรอบศีรษะและมัดไว้ใต้คางเพื่อไม่ให้กรามล่างหย่อน2
มัทธิวเขียนไว้ว่า พระเยซูถูกนำไปฝังในอุโมงค์ใหม่ๆซึ่งสกัดจากหน้าหิน โยเซฟชาวอาริมาเธียเป็นเจ้าของอุโมงค์ฝังศพนี้ซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขากลโกธา และมัทธิวบันทึกไว้ว่า โยเซฟผู้นี้ร่ำรวย (มธ. 27:57) อุโมงค์ฝังศพของเศรษฐีแบบนี้จะสร้างไว้ให้ใหญ่พอที่คนจะยืนขึ้นได้ มัทธิวยังบันทึกต่ออีกว่า มีการกลิ้งหินก้อนใหญ่ไปปิดหน้าทางเข้าอุโมงค์ไว้ ฉะนั้น บรรดาปุโรหิตหลวงและพวกผู้ปกครองชาวยิวจึงพากันไปร้องเรียนปีลาตให้จัดเวรยามทหารโรมันสี่นายไปเฝ้ารอบๆอุโมงค์ พวกเขากลัวว่า สาวกบางคนของพระเยซูจะมาขโมยศพไป และอ้างว่า
พระคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตาย เพื่อไม่ให้ถูกหลอก จึงต้องตีตราประทับประตูหินไว้ (มธ. 27:60-66) หินหนักเป็นตันๆถูกสกัดให้เป็นรูปเหรียญไว้กลิ้งปิดทางเข้าที่ถูกเจาะเป็นช่องประตู
ทำไมพวกฟาริสีจึงไปขอให้ปีลาตส่งกองทหารโรมันไปเฝ้าดูรอบๆอุโมงค์? ทำไมพวกเขาไม่ส่งคนของตัวเองไปเฝ้า?
พวกฟาริสีรู้ว่า การจะหาคนยิวมาเฝ้ายามช่วงนั้นยากมาก เพราะทุกคนกำลังเตรียมรับประทานอาหารมื้อปัสกากับครอบครัว นอกจากนี้ สิทธิอำนาจของทหารโรมันยังมีน้ำหนักมากกว่าด้วย เพราะพวกเขาถูกฝึกมาอย่างดี บรรดาทหารโรมันรู้ว่า ชีวิตพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ถ้าใครปล่อยให้นักโทษหลุดหายไปได้ เราอ่านพบในหนังสือกิจการว่า อัครทูตเปโตร ถูกจำคุก และมีทหารรรักษาการณ์สี่กองๆละสี่นายเฝ้าเขาอยู่ เมื่อทูตสวรรค์พาเขาหนีออกมา เฮโรดจึงสั่งประหารชีวิตทหารยามทั้งสิบหกคนโทษฐานปล่อยให้นักโทษหายไป (กิจการ 12:4-19)
คราวนี้ให้เรามาดูกันต่อในหนังสือยอห์น บทที่ยี่สิบ
1วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยก
ออกไปแล้ว 2นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขา
เอาพระเยซูออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” 3เปโตรจึง
______________________________________________________
2 Merril C. Tenney. The Reality of the Resurrection . New York, NY. Harper and Row Publishers, 1963, p. 117.
ออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น 4เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์
ก่อน 5เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน 6ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง
แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ 7ส่วนผ้าพันศีรษะของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับ
ไว้ต่างหาก 8แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ 9(แต่ขณะนั้นเขายังไม่
เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย) (ยน. 20:1-9)
คุณคิดว่า ยอห์นเห็นอะไรจึงทำให้เขาปักใจเชื่อว่า พระเยซูยังมีชีวิตอยู่?
ครั้งแรกที่พวกสาวกได้ยินว่า หินถูกกลิ้งออกจากปากอุโมงค์ พวกเขาสันนิษฐานว่า ศพพระเยซูถูกขโมยไปแล้ว มารีย์ชาวมักดารา บอกเปโตรและยอห์นว่า “เขาเอาพระเยซูออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน!” (ยน. 20:2) เมื่อยอห์นเข้าไปในอุโมงค์ เขาก็เชื่อเลย แต่เขาเชื่อว่าอะไร? จากสภาพผ้าพันศพที่เขาเห็น เขาจึงเชื่อว่า พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เขาเป็นคนแรกที่ “เข้าใจ” ลองมาคิดถึงสิ่งที่ยอห์นเห็นขณะมองดูผ้าพันศพนั้น เรารู้กันมาว่า ศพนั้นถูกพันด้วยผ้าลินิน พร้อมยาแนวด้วยเครื่องหอมตามซอกและรอยพับ คล้ายๆวิธีห่อศพของชาวอียิปต์ มีผ้าพันศีรษะแยกจากส่วนอื่นๆ ภาพที่ผมจินตนาการ คือ ผ้าห่อศพนั้นอาจจะแข็งตัวเพราะมดยอบ กฤษณา และเครื่องเทศอื่นๆ ร่างของพระเยซูทะลุผ่านผ้าพันศพออกมา เหลือไว้แต่สิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นผ้าห่อศพและเครื่องหอมรูปรังไหม ผ้าห่อศพในสภาพที่ไม่บุบสลายนี่เองเป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่ายอห์นเห็น และทำให้เขาปักใจเชื่อว่า พระเยซูยังมีชีวิตอยู่
จึงน่าสนใจเมื่อคิดถึงว่า ในที่สุดเมื่อนางมารีย์ ชาวมักดารา กลับไปที่อุโมงค์และเข้าไปข้างใน นางเห็นทูตสวรรค์สององค์อยู่คนละฝั่งของที่วางศพพระเยซู:
11ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์ 12และเห็นทูต-
สวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เหนือศีรษะ อีกองค์หนึ่งอยู่ปลาย
เท้า (ยน. 20:11-12)
อภิสุทธิสถาน (ในพระวิหาร) นั้นช่างเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนมาก ที่ซึ่งมีทูตสวรรค์สององค์ยืนอยู่สองฝั่งของพระที่นั่งกรุณา! ณ ที่วางศพพระเยซูนั้นเอง ตอนนี้ก็มีทูตสวรรค์สององค์เฝ้าอยู่ตรงบริเวณที่วางศีรษะและปลายเท้าผ้าพันศพ อุโมงค์ฝังศพของพระองค์จึงเป็นสัญลักษณ์ถึงพระที่นั่งกรุณาของพระเจ้า! และสัญลักษณ์นี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นอีกเมื่อพิจารณาถึงว่า พระองค์ถูกพันด้วยแถบผ้าลินินสีขาว ซึ่งหมายถึงปุโรหิตหลวงและความบริสุทธิ์ เป็นตัวแทนเราต่อหน้าพระบิดา และยอมสละโลหิตของพระองค์เพื่อไถ่บาปเรา!
ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นขึ้นจากตายอีกครั้งจริงๆ เราต้องตอบสนองต่อพระองค์อย่างไร? แล้วเรื่องนี้ส่งผลต่อชีวิตเราอย่างไร? ถ้าเราเชื่อว่า พระองค์เป็นขึ้นแล้วจริงๆ เราแต่ละคนก็ต้องตอบสนองต่อคำประกาศของพระองค์ แต่ละคนต่างต้องตัดสินใจกันเองว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ของฉันหรือไม่?
ทำไมจึงมีรายละเอียดมากมายนัก?
บางคนที่ไม่เชื่อก็บอกว่า พระเยซูไม่ได้ตายบนไม้กางเขน คือ พระองค์แค่หมดสติไป และฟื้นขึ้นมาภายหลัง ลองคิดดูสิ พระคริสต์ถูกหอกแทงที่สีข้าง มีทั้งเลือดและน้ำ (เครื่องพิสูจน์ว่าตายจริง) ไหลออกมาจากสีข้างด้วย แถมศพยังถูกพันด้วยเครื่องเทศหอมหนักเจ็ดสิบห้าปอนด์ แล้วปิดตายอยู่ในอุโมงค์หินอันเยือกเย็น ไม่มีทั้งน้ำและอาหารสามวัน หน้าอุโมงค์ก็มีพวกทหารโรมันคอยเฝ้าระวังอยู่ มันค้านกับเหตุผลเชิงตรรกะใดๆที่จะคิดว่า พระองค์ไม่ได้ตายจริง แต่เดินหนีไปเฉยๆ พระเยซูจะรอดชีวิตจากสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างไร
ความคิดที่ว่า ศัตรูของพระองค์ขโมยศพไปก็ไร้สาระพอๆกัน ศัตรูของพระองค์คงไม่อยากปล่อยให้ผู้ติดตามพระคริสต์อ้างว่า พระเยซูเป็นขึ้นแล้วและมีชีวิตอยู่ ดังนั้น พระองค์จึงเป็นพระเจ้า มัทธิวบันทึกว่า พวกผู้นำชาวยิวพยายามหักล้างเรื่องการเป็นขึ้นใหม่โดยบอกว่า เหล่าสาวกขโมยศพไป และจ่ายเงินให้ทหารโรมันรู้เห็นเป็นใจด้วย (มธ. 28:11-15) ไม่เคยมีสักคำที่ออกจากปากผู้นำว่า ไม่มีอุโมงค์ว่างเปล่าจริง แม้แต่ทฤษฎี “ศพถูกขโมย” ของพวกเขาก็ยอมรับว่า อุโมงค์ว่างเปล่าจริงๆ
เหล่าสาวกของพระองค์ก็ไม่มีเหตุผลจะไปขโมยศพเช่นกัน เพราะหลังจากการตายของพระองค์ พวกเขาก็เศร้าสลดเสียใจมาก หลังจากพระคริสต์ตาย พวกเขาพากันหนีไปหลบซ่อนเพราะกลัวถูกกดขี่ข่มเหง เรายังรู้อีกด้วยว่า พวกเขาส่วนใหญ่ทนทุกข์ และตายเพื่อปกป้องความเชื่อของตน โดยเชื่อว่าพระเยซูเป็นอย่างที่พระองค์อ้างว่า พระองค์เป็นจริงๆ คือ บุตรของพระเจ้า ถ้าพวกเขาขโมยศพไปจริงๆ แล้วทำไมจึงยอมสละชีวิตตนเองเพื่อสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เป็นเรื่องโกหก? นอกจากนี้ ในช่วงสี่สิบวันหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา พระเยซูยังได้ปรากฏตัวอีกหลายๆครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งที่พระองค์ปรากฏต่อหน้าผู้คนห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งบางคนในกลุ่มนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ตอนที่เปาโลเขียนเรื่องนี้ (1 คร. 15:6)
นักวิจารณ์คนอื่นๆกล่าวว่า พวกผู้หญิงไปผิดอุโมงค์ แต่เรากลับเห็นพวกทหารยามที่เฝ้าอุโมงค์ฝังศพกลัวหัวหดอยู่กับพื้น (มธ. 28:4) เท่าที่เรารู้พวกทหารโรมันไม่ได้ทำผิดอะไร ผู้เขียนหนังสือพระกิตติคุณสู้อุตส่าห์บันทึกเรื่องนี้อย่างละเอียดมาก เพราะปมสำคัญของเรื่องราวข่าวประเสริฐนั้นขึ้นอยู่กับประเด็นนี้ประเด็นเดียว เพราะหากไม่มีการเป็นขึ้นใหม่ ก็ไม่มีความหวัง และไม่มีชีวิตหลังความตาย ข้อเท็จจริงจึงยังคงอยู่ว่า ผู้ติดตามพระองค์มากมายถูกสังหารเพราะความเชื่อ พวกเขามั่นใจว่า พระคริสต์ยังมีชีวิตอยู่
แม้แต่เหล่าสาวกของพระเยซูยังงงและพากันหวาดกลัว ถ้าพระองค์ผู้ซึ่งได้เยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บมากมาย และทำให้คนตายฟื้น แต่กลับช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ แล้วจะไปช่วยพวกเขาให้รอดได้อย่างไร? เมื่อพวกเขาเข้าใจแล้วว่า พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริง ทั้งประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาตามธรรมเนียมต่างก็บอกเราว่า เหล่าสาวกมากมายได้ออกไปเป็นพยานอย่างกล้าหาญ เต็มด้วยพระวิญญาณจวบจนวันตายอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา จอห์น ฟอกซ์ เขียนหนังสือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า Foxes’ Book of Martyrs (หนังสือเกี่ยวกับผู้ยอมพลีชีพเพื่อความเชื่อของฟอกซ์) ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1563 ในชื่อเรื่อง “Acts and Monuments of These Latter and Perilous Days” (กิจการและอนุสรณ์ของยุคสุดท้ายและวันอันตราย) ในเล่มนี้ เขาได้บันทึกข้อเท็จจริงเรื่องการตายของเหล่าสาวกมากมายตามที่รายงานไว้ในประวัติศาสตร์และที่เล่าสืบๆกันมา
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดบางอย่างที่เขาบอกไว้ในหนังสือเกี่ยวกับบั้นปลายชีวิตของเหล่าสาวกในคริสตจักรยุคแรก
ยากอบ น้องชายของยอห์นเป็นสาวกคนแรกในสิบสองคนที่พลีชีพเพื่อความเชื่อ และกล่าวกันว่า เขาถูกตัด
ศีรษะตามคำสั่งของกษัตริย์เฮโรด อากริปปาที่หนึ่งแห่งแคว้นยูเดีย อัครทูตฟิลิป ถูกเฆี่ยน โยนเข้าคุก แล้ว
เอาไปตรึงกางเขน ส่วนมาระโก ก็เล่ากันว่า ถูกลากไปตามถนนในเมืองอเล็กซานเดรีย จนร่างฉีกกระจุย
เป็นชิ้นๆ หลังจากที่เขาคัดค้านพิธีกรรมกราบไหว้เทพเจ้าเซราปิส ซึ่งเป็นรูปเคารพของชาวเมืองนั้น
เปโตร ถูกตรึงกางเขนกลับหัว เพราะเขาขอไม่ถูกประหารในท่าเดียวกับพระเยซู พระเจ้าของเขา
เพราะรู้สึกว่า ตนไม่คู่ควรที่จะตายในท่าเดียวกับพระองค์ ยากอบผู้น้อย (น้องชายของพระเยซู) นั้นก็
เล่ากันว่า ถูกเอาหินขว้างจนตาย แต่บางเล่มก็บอกว่า เขาถูกโยนลงจากหอคอยพระวิหารก่อน แล้วถูกตีที่
ศีรษะ แอนดรูว์ น้องชายของเปโตรได้ประกาศข่าวประเสริฐในหลายประเทศแถบเอเชีย แล้วถูกจับตรึงบน
กางเขนรูปกากบาท ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า ไม้กางเขนของนักบุญแอนดรูว์ ชีวิตบั้นปลายของ
มัทธิวนั้นไม่ค่อยมีใครรู้มากนัก แต่งานเขียนบางชิ้นเล่าว่า เขาถูกตรึงอยู่กับพื้นและตัดศีรษะที่เอธิโอเปีย
มัทธีอัสถูกเอาหินขว้างที่กรุงเยรูซาเล็มและตัดศีรษะ ยูดาห์น้องชายของยากอบถูกตรึงกางเขนที่นครรัฐอิ-
เดสสา ในภูมิภาคเมโสโปเตเมีย แล้วก็มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า บาร์โธโลมิวไปประกาศข่าวประเสริฐที่
อินเดียตะวันออกและถูกตรึงกางเขนที่นั่น ส่วนโธมัสประกาศพระกิตติคุณในประเทศเปอร์เซีย ปาร์เธีย
และอินเดีย เขาถูกทรมาน โดนหอกแทง และถูกโยนเข้าไปในเตาไฟในเมืองคาลามินา ประเทศอินเดีย
เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกา บ้างก็ว่าเขาถูกแขวนคอบนต้นมะกอก บ้างก็ว่าเขาแก่ตาย อัครทูตยอห์น
ถูกจับในเมืองเอเฟซัส แล้วถูกส่งตัวไปยังกรุงโรม ที่ที่เขาถูกจับใส่ลงไปในภาชนะที่มีน้ำมันเดือดๆ แต่ก็ฆ่า
เขาไม่ได้ จากนั้นจึงถูกเนรเทศไปยังเกาะปัทมอส ซึ่งเป็นทีที่ยอห์นเขียนหนังสือวิวรณ์ หลังจากได้รับการ
ปล่อยตัวออกจากเกาะปัทมอสแล้ว เขาก็กลับไปยังเมืองเอเฟซัส ที่ซึ่งเขาเสียชีวิตในราวปีค.ศ. 98 ทั้งๆที่มี
การกดขี่ข่มเหงและตายอย่างอเนจอนาถ แต่พระเจ้าก็ยังเพิ่มผู้เชื่อเข้ามาในคริสตจักรทุกๆวัน3
หลังจากพิจารณาคำพยานเรื่องการตายของพวกเขา คุณคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่เหล่าสาวกจะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อเรื่องโกหก? ประสบการณ์ที่พวกเขาพบเจอหลังการตรึงกางเขนพระคริสต์นั้นได้จุดไฟในวิญญาณพวกเขาให้ลุกโชนขึ้น จนพวกเขารุดหน้าเผยแพร่ข่าวประเสริฐ เล่าถึงสิ่งที่พระเยซูทำต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ต้องเผชิญกับการถูกข่มเหงและความยากลำบากอย่างไม่ลดละ
หลังจากได้ยินหรืออ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว ผมขอถามคุณว่า “คุณจะทำอย่างไรกับพระเยซู ผู้ประกาศว่า
พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง? คุณจะตอบสนองต่อพระองค์อย่างไร?”
คำอธิษฐาน: ในเรื่องคำอธิษฐาน ผมอยากหนุนใจคุณแต่ละคนอธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาด้วยคำอธิษฐานของคุณเอง ขอบคุณที่พระองค์รักเรา และหากคุณยังไม่เคยมอบชีวิตให้พระองค์จากใจจริง บางทีวันนี้อาจจะถึงเวลาที่คุณจะทำเช่นนั้นเสียที
คีธ โธมัส
อีเมล: keiththomas@groupbiblestudy.com
เวปไซด์: www.groupbiblestudy.com
_______________________________
3 The New Foxe’s Book of Martyrs, John Foxe. Updated by Harold J. Chadwick.